ทั้ง Chromium และ Google Chrome สนับสนุน นโยบายชุดเดียวกัน โปรดทราบว่าเอกสารนี้อาจประกอบด้วยนโยบาย สำหรับเวอร์ชันของซอฟต์แวร์ที่ยังไม่เผยแพร่ (กล่าวคือ รายการ "สนับสนุนใน" หมายถึงเวอร์ชันที่ยังไม่เปิดตัว) ซึ่งนโยบายดังกล่าวอาจมี การเปลี่ยนแปลงหรือนำออกโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า
นโยบายเหล่านี้มีไว้เพื่อใช้กำหนดค่าอินสแตนซ์ของ Google Chrome ภายใน องค์กรของคุณเท่านั้น การใช้นโยบายเหล่านี้ภายนอกองค์กร (ตัวอย่าง เช่น ในโปรแกรมที่เผยแพร่สู่สาธารณะ) จะถือว่าเป็นมัลแวร์ และมีแนวโน้มว่า Google และผู้ให้บริการโปรแกรมป้องกันไวรัสจะติดป้ายกำกับว่าเป็นมัลแวร์
คุณไม่จำเป็นต้องกำหนดค่าเหล่านี้ด้วยตนเอง คุณสามารถ ดาวน์โหลดเทมเพลตที่ใช้งานง่ายสำหรับ Windows, Mac และ Linux ได้จาก https://www.chromium.org/administrators/policy-templates
วิธีกำหนดค่านโยบายใน Windows ที่แนะนำคือผ่าน GPO แม้จะยังสนับสนุนนโยบายการจัดสรรผ่านรีจิสทรีสำหรับอินสแตนซ์ Windows ที่เข้าร่วมโดเมน Active Directory ก็ตาม
ชื่อนโยบาย | คำอธิบาย |
การจัดการพลังงาน | |
ScreenDimDelayAC | ระยะหน่วงเวลาการหรี่แสงหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้ไฟ AC |
ScreenOffDelayAC | ระยะหน่วงเวลาการปิดหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้ไฟ AC |
ScreenLockDelayAC | ระยะหน่วงเวลาการล็อกหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้ไฟ AC |
IdleWarningDelayAC | คำเตือนการไม่ใช้งานล่าช้าเมื่อทำงานโดยใช้ไฟ AC |
IdleDelayAC | ระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งานเมื่อทำงานโดยใช้ไฟ AC |
ScreenDimDelayBattery | ระยะหน่วงเวลาการหรี่แสงหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ |
ScreenOffDelayBattery | ระยะหน่วงเวลาการปิดหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ |
ScreenLockDelayBattery | ระยะหน่วงเวลาการล็อกหน้าจอเมื่อทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ |
IdleWarningDelayBattery | คำเตือนการไม่ใช้งานล่าช้าเมื่อทำงานโดยใช้กำลังแบตเตอรี่ |
IdleDelayBattery | ระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งานเมื่อทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่ |
IdleAction | การทำงานที่ต้องทำเมื่อถึงระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน |
IdleActionAC | การกระทำที่จะดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานจนถึงการหน่วงเวลาที่กำหนด ขณะที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า AC |
IdleActionBattery | การกระทำที่จะดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานจนถึงการหน่วงเวลาที่กำหนด ขณะที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ |
LidCloseAction | การทำงานของอุปกรณ์เมื่อผู้ใช้ปิดฝา |
PowerManagementUsesAudioActivity | ระบุว่ากิจกรรมเสียงมีผลต่อการจัดการพลังงานหรือไม่ |
PowerManagementUsesVideoActivity | ระบุว่ากิจกรรมวิดีโอมีผลต่อการจัดการพลังงานหรือไม่ |
PresentationIdleDelayScale | เปอร์เซ็นต์สำหรับการปรับการหน่วงเวลาของการไม่ใช้งานในโหมดการนำเสนอ (เลิกใช้งาน) |
PresentationScreenDimDelayScale | เปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอในโหมดการนำเสนอ |
AllowScreenWakeLocks | อนุญาตล็อกปลุกหน้าจอ |
UserActivityScreenDimDelayScale | เปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอ หากผู้ใช้มีการใช้งานหลังจากการสลัวหน้าจอ |
WaitForInitialUserActivity | รอกิจกรรมเริ่มต้นของผู้ใช้ |
PowerManagementIdleSettings | การตั้งค่าการจัดการพลังงานเมื่อผู้ใช้ไม่มีการใช้งาน |
ScreenLockDelays | การหน่วงเวลาในการล็อกหน้าจอ |
การตั้งค่าผู้ใช้ที่ได้รับการจัดการในเครื่อง | |
SupervisedUsersEnabled | เปิดใช้งานผู้ใช้ภายใต้การดูแล |
SupervisedUserCreationEnabled | เปิดใช้งานการสร้างผู้ใช้ภายใต้การดูแล |
SupervisedUserContentProviderEnabled | เปิดใช้ผู้ให้บริการเนื้อหาสำหรับผู้ใช้ภายใต้การดูแล |
การตั้งค่าสำหรับการเข้าถึง | |
ShowAccessibilityOptionsInSystemTrayMenu | แสดงตัวเลือกการเข้าถึงในเมนูถาดระบบ |
LargeCursorEnabled | เปิดใช้งานเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่ |
SpokenFeedbackEnabled | เปิดใช้งานการตอบสนองด้วยเสียง |
HighContrastEnabled | เปิดใช้งานโหมดความคมชัดสูง |
VirtualKeyboardEnabled | เปิดใช้แป้นพิมพ์บนหน้าจอ |
KeyboardDefaultToFunctionKeys | แป้นสื่อมีค่าเริ่มต้นเป็นแป้นฟังก์ชัน |
ScreenMagnifierType | ตั้งค่าประเภทของแว่นขยายหน้าจอ |
DeviceLoginScreenDefaultLargeCursorEnabled | ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
DeviceLoginScreenDefaultSpokenFeedbackEnabled | ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของเสียงพูดตอบรับบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
DeviceLoginScreenDefaultHighContrastEnabled | ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของโหมดคอนทราสต์สูงบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
DeviceLoginScreenDefaultVirtualKeyboardEnabled | ตั้งสถานะเริ่มต้นของแป้นพิมพ์บนหน้าจอบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
DeviceLoginScreenDefaultScreenMagnifierType | ตั้งค่าประเภทของแว่นขยายหน้าจอเริ่มต้นที่เปิดใช้งานบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
การตั้งค่าเนื้อหา | |
DefaultCookiesSetting | การตั้งค่าคุกกี้เริ่มต้น |
DefaultImagesSetting | การตั้งค่าภาพเริ่มต้น |
DefaultJavaScriptSetting | การตั้งค่า JavaScript เริ่มต้น |
DefaultPluginsSetting | การตั้งค่าปลั๊กอินเริ่มต้น |
DefaultPopupsSetting | การตั้งค่าป๊อปอัปเริ่มต้น |
DefaultNotificationsSetting | การตั้งค่าการแจ้งเตือนเริ่มต้น |
DefaultGeolocationSetting | การตั้งค่าตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เริ่มต้น |
DefaultMediaStreamSetting | การตั้งค่า mediastream เริ่มต้น |
DefaultKeygenSetting | การตั้งค่าการสร้างคีย์ที่เป็นค่าเริ่มต้น |
AutoSelectCertificateForUrls | เลือกใบรับรองไคลเอ็นต์สำหรับไซต์เหล่านี้โดยอัตโนมัติ |
CookiesAllowedForUrls | อนุญาตให้ใช้คุกกี้บนไซต์เหล่านี้ |
CookiesBlockedForUrls | ปิดกั้นคุกกี้บนไซต์เหล่านี้ |
CookiesSessionOnlyForUrls | อนุญาตให้ใช้คุกกี้เฉพาะเซสชันเท่านั้นบนไซต์เหล่านี้ |
ImagesAllowedForUrls | อนุญาตให้แสดงภาพบนไซต์เหล่านี้ |
ImagesBlockedForUrls | ปิดกั้นภาพบนไซต์เหล่านี้ |
JavaScriptAllowedForUrls | อนุญาตให้ใช้ JavaScript บนไซต์เหล่านี้ |
JavaScriptBlockedForUrls | ปิดกั้น JavaScript บนไซต์เหล่านี้ |
KeygenAllowedForUrls | อนุญาตให้สร้างคีย์ในเว็บไซต์เหล่านี้ |
KeygenBlockedForUrls | บล็อกการสร้างคีย์ในเว็บไซต์เหล่านี้ |
PluginsAllowedForUrls | อนุญาตให้ใช้ปลั๊กอินบนไซต์เหล่านี้ |
PluginsBlockedForUrls | ปิดกั้นปลั๊กอินบนไซต์เหล่านี้ |
PopupsAllowedForUrls | อนุญาตให้แสดงป๊อปอัปบนไซต์เหล่านี้ |
RegisteredProtocolHandlers | ลงทะเบียนเครื่องจัดการโปรโตคอล |
PopupsBlockedForUrls | ปิดกั้นป๊อปอัปบนไซต์เหล่านี้ |
NotificationsAllowedForUrls | อนุญาตการแจ้งเตือนในไซต์เหล่านี้ |
NotificationsBlockedForUrls | บล็อกการแจ้งเตือนในไซต์เหล่านี้ |
การยืนยันระยะไกล | |
AttestationEnabledForDevice | เปิดใช้งานการยืนยันระยะไกลสำหรับอุปกรณ์ |
AttestationEnabledForUser | เปิดใช้งานการยืนยันระยะไกลสำหรับผู้ใช้ |
AttestationExtensionWhitelist | ส่วนขยายได้รับอนุญาตให้ใช้ API การยืนยันระยะไกล |
AttestationForContentProtectionEnabled | เปิดใช้การใช้งานการรับรองระยะไกลสำหรับการปกป้องเนื้อหาสำหรับอุปกรณ์ |
การรับส่งข้อความดั้งเดิม | |
NativeMessagingBlacklist | กำหนดค่าบัญชีดำการรับส่งข้อความดั้งเดิม |
NativeMessagingWhitelist | กำหนดค่ารายการที่อนุญาตพิเศษสำหรับการรับส่งข้อความดั้งเดิม |
NativeMessagingUserLevelHosts | อนุญาตให้ใช้โฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมระดับผู้ใช้ (ติดตั้งโดยไม่มีสิทธิ์ของผู้ดูแลระบบ) |
กำหนดค่าตัวเลือก Google ไดรฟ์ | |
DriveDisabled | ปิดใช้ไดรฟ์ในแอป Files ของ Google Chrome OS |
DriveDisabledOverCellular | ปิดใช้ Google ไดรฟ์ผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือในแอป Files ของ Google Chrome OS |
กำหนดค่าตัวเลือกการเข้าถึงระยะไกล | |
RemoteAccessClientFirewallTraversal | เปิดใช้งานไฟร์วอลล์ Traversal จากไคลเอ็นต์ที่เข้าถึงจากระยะไกล |
RemoteAccessHostFirewallTraversal | เปิดใช้งานไฟร์วอลล์ Traversal จากโฮสต์สำหรับการเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostDomain | กำหนดค่าชื่อโดเมนที่จำเป็นสำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostRequireTwoFactor | เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัยสำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostTalkGadgetPrefix | กำหนดค่าส่วนนำหน้า TalkGadget สำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostRequireCurtain | เปิดใช้งานการปิดม่านโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostAllowClientPairing | เปิดหรือปิดใช้การตรวจสอบสิทธิ์โดยไม่ใช้ PIN สำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostAllowGnubbyAuth | อนุญาตให้ตรวจสอบสิทธิ์ Gnubby สำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostAllowRelayedConnection | เปิดใช้รีเลย์เซิร์ฟเวอร์โดยโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostUdpPortRange | จำกัดช่วงพอร์ต UDP ที่ใช้โดยโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostMatchUsername | กำหนดว่าชื่อผู้ใช้ในเครื่องและเจ้าของโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลต้องตรงกัน |
RemoteAccessHostTokenUrl | URL ที่ไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกลควรรับโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์ |
RemoteAccessHostTokenValidationUrl | URL สำหรับตรวจสอบความถูกต้องโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์ไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกล |
RemoteAccessHostTokenValidationCertificateIssuer | ใบรับรองไคลเอ็นต์สำหรับการเชื่อมต่อกับ RemoteAccessHostTokenValidationUrl |
RemoteAccessHostDebugOverridePolicies | การลบล้างนโยบายสำหรับเวอร์ชันการแก้ปัญหาของโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล |
ตัวจัดการรหัสผ่าน | |
PasswordManagerEnabled | เปิดการบันทึกรหัสผ่านไปยังโปรแกรมจัดการรหัสผ่าน |
PasswordManagerAllowShowPasswords | อนุญาตให้ผู้ใช้แสดงรหัสผ่านในตัวจัดการรหัสผ่าน |
นโยบายสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP | |
AuthSchemes | สกีมการตรวจสอบสิทธิ์ที่ได้รับการสนับสนุน |
DisableAuthNegotiateCnameLookup | ปิดใช้งานการค้นหา CNAME เมื่อมีการเจรจาตรวจสอบสิทธิ์ Kerberos |
EnableAuthNegotiatePort | รวมพอร์ตที่ไม่ใช่แบบมาตรฐานใน Kerberos SPN |
AuthServerWhitelist | รายการที่อนุญาตสำหรับเซิร์ฟเวอร์การตรวจสอบสิทธิ์ |
AuthNegotiateDelegateWhitelist | รายการที่อนุญาตสำหรับเซิร์ฟเวอร์การมอบสิทธิ์ของ Kerberos |
GSSAPILibraryName | ชื่อไลบรารี GSSAPI |
AuthAndroidNegotiateAccountType | ประเภทบัญชีสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP Negotiate |
AllowCrossOriginAuthPrompt | ข้อความแจ้งการตรวจสอบสิทธิ์พื้นฐาน HTTP ข้ามจุด |
ผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น | |
DefaultSearchProviderEnabled | เปิดใช้งานผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderName | ชื่อผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderKeyword | คำหลักของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderSearchURL | URL การค้นหาของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderSuggestURL | URL ที่แนะนำโดยผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderInstantURL | URL ค้นหาทันใจของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderIconURL | ไอคอนของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderEncodings | การเข้ารหัสของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderAlternateURLs | รายการ URL สำรองของผู้ให้บริการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderSearchTermsReplacementKey | พารามิเตอร์ที่ควบคุมตำแหน่งข้อความค้นหาสำหรับผู้ให้บริการค้นหาในค่าเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderImageURL | พารามิเตอร์ที่ให้คุณลักษณะการค้นหาโดยภาพสำหรับผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderNewTabURL | URL หน้าแท็บใหม่ของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น |
DefaultSearchProviderSearchURLPostParams | พารามิเตอร์สำหรับ URL ค้นหาที่ใช้ POST |
DefaultSearchProviderSuggestURLPostParams | พารามิเตอร์สำหรับการแนะนำ URL ที่ใช้ POST |
DefaultSearchProviderInstantURLPostParams | พารามิเตอร์สำหรับ URL ค้นหาทันใจที่ใช้ POST |
DefaultSearchProviderImageURLPostParams | พารามิเตอร์สำหรับ URL รูปภาพที่ใช้ POST |
พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ | |
ProxyMode | เลือกวิธีระบุการตั้งค่าพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ |
ProxyServerMode | เลือกวิธีระบุการตั้งค่าพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ |
ProxyServer | ที่อยู่หรือ URL ของพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ |
ProxyPacUrl | URL ไปยังไฟล์ .pac ของพร็อกซี |
ProxyBypassList | กฎการข้ามพร็อกซี |
ส่วนขยาย | |
ExtensionInstallBlacklist | กำหนดค่ารายการที่ไม่อนุญาตสำหรับการติดตั้งส่วนขยาย |
ExtensionInstallWhitelist | กำหนดค่ารายการที่อนุญาตสำหรับการติดตั้งส่วนขยาย |
ExtensionInstallForcelist | กำหนดค่ารายชื่อแอปและส่วนขยายที่บังคับให้ติดตั้ง |
ExtensionInstallSources | กำหนดค่าส่วนขยาย แอปพลิเคชัน และแหล่งติดตั้งสคริปต์ของผู้ใช้ |
ExtensionAllowedTypes | กำหนดค่าประเภทแอปพลิเคชัน/ส่วนขยายที่อนุญาต |
หน้าเริ่มต้นใช้งาน | |
RestoreOnStartup | การดำเนินการเมื่อเริ่มต้นใช้งาน |
RestoreOnStartupURLs | URL ที่จะเปิดเมื่อเริ่มต้นใช้งาน |
หน้าแรก | |
HomepageLocation | กำหนดค่า URL ของหน้าแรก |
HomepageIsNewTabPage | ใช้หน้าแท็บใหม่เป็นหน้าแรก |
อนุญาตให้ Google Chrome Frame จัดการประเภทเนื้อหาดังต่อไปนี้ | |
ChromeFrameContentTypes | อนุญาตให้ Google Chrome Frame จัดการประเภทเนื้อหาตามที่แสดงในรายการ |
โปรแกรมแสดง HTML เริ่มต้นสำหรับ Google Chrome Frame | |
ChromeFrameRendererSettings | โปรแกรมแสดง HTML เริ่มต้นสำหรับ Google Chrome Frame |
RenderInChromeFrameList | แสดงรูปแบบ URL ต่อไปนี้ใน Google Chrome Frame |
RenderInHostList | แสดงรูปแบบ URL ต่อไปนี้เสมอในเบราว์เซอร์โฮสต์ |
AdditionalLaunchParameters | พารามิเตอร์บรรทัดคำสั่งเพิ่มเติมสำหรับ Google Chrome |
SkipMetadataCheck | ข้ามการตรวจสอบเมตาแท็กใน Google Chrome Frame |
AllowDinosaurEasterEgg | อนุญาตให้เล่นเกมไดโนเสาร์ที่ซ่อนไว้ได้ |
AllowFileSelectionDialogs | อนุญาตให้เรียกดูช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ได้ |
AllowOutdatedPlugins | อนุญาตให้เรียกใช้ปลั๊กอินที่เก่าแล้ว |
AlternateErrorPagesEnabled | เปิดใช้งานหน้าเว็บแสดงข้อผิดพลาดสำรอง |
AlwaysAuthorizePlugins | เรียกใช้ปลั๊กอินที่ต้องมีการให้สิทธิ์เสมอ |
ApplicationLocaleValue | ภาษาของแอปพลิเคชัน |
AudioCaptureAllowed | อนุญาตหรือปฏิเสธการจับเสียง |
AudioCaptureAllowedUrls | URL ที่จะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงอุปกรณ์จับเสียงโดยไม่ต้องแจ้ง |
AudioOutputAllowed | อนุญาตให้เล่นเสียง |
AutoCleanUpStrategy | เลือกกลยุทธ์ที่ใช้ในการเพิ่มพื้นที่ว่างของดิสก์ระหว่างการล้างข้อมูลอัตโนมัติ (เลิกใช้แล้ว) |
AutoFillEnabled | เปิดใช้งานการป้อนอัตโนมัติ |
BackgroundModeEnabled | เรียกใช้แอปพลิเคชันพื้นหลังต่อไปเมื่อปิด Google Chrome |
BlockThirdPartyCookies | ปิดกั้นคุกกี้ของบุคคลที่สาม |
BookmarkBarEnabled | เปิดใช้งานแถบบุ๊กมาร์ก |
BrowserAddPersonEnabled | เปิดใช้การเพิ่มบุคคลลงในตัวจัดการโปรไฟล์ |
BrowserGuestModeEnabled | เปิดใช้โหมดผู้มาเยือนในเบราว์เซอร์ |
BuiltInDnsClientEnabled | ใช้ไคลเอ็นต์ DNS ในตัว |
CaptivePortalAuthenticationIgnoresProxy | การตรวจสอบสิทธิ์ของแคพทีฟพอร์ทัลจะข้ามพร็อกซีไป |
ChromeOsLockOnIdleSuspend | เปิดใช้งานการล็อกเมื่อไม่ได้ใช้งานหรือระงับใช้อุปกรณ์ |
ChromeOsMultiProfileUserBehavior | ควบคุมพฤติกรรมผู้ใช้ในเซสชันหลายโปรไฟล์ |
ChromeOsReleaseChannel | ช่องเผยแพร่ |
ChromeOsReleaseChannelDelegated | ควรจะอนุญาตให้ผู้ใช้กำหนดค่าช่องสำหรับเปิดตัวการอัปเดตหรือไม่ |
ClearSiteDataOnExit | ล้างข้อมูลไซต์เมื่อปิดเบราว์เซอร์ (เลิกใช้งานแล้ว) |
CloudPrintProxyEnabled | เปิดใช้งานพร็อกซี Google Cloud Print |
CloudPrintSubmitEnabled | เปิดใช้งานการส่งเอกสารไปยัง Google Cloud Print |
ContextualSearchEnabled | เปิดใช้แตะเพื่อค้นหา |
DataCompressionProxyEnabled | เปิดใช้คุณลักษณะพร็อกซีการบีบอัดข้อมูล |
DefaultBrowserSettingEnabled | ตั้ง Google Chrome เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น |
DefaultPrinterSelection | กฎการเลือกเครื่องพิมพ์เริ่มต้น |
DeveloperToolsDisabled | ปิดใช้งานเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ |
DeviceAllowNewUsers | อนุญาตให้สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ |
DeviceAllowRedeemChromeOsRegistrationOffers | อนุญาตให้ผู้ใช้แลกข้อเสนอพิเศษผ่านการลงทะเบียน Chrome OS |
DeviceAppPack | รายการส่วนขยายของ AppPack |
DeviceAutoUpdateDisabled | ปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติ |
DeviceAutoUpdateP2PEnabled | เปิดใช้การอัปเดต p2p อัตโนมัติแล้ว |
DeviceBlockDevmode | บล็อกโหมดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ |
DeviceDataRoamingEnabled | เปิดใช้งานการโรมมิ่งข้อมูล |
DeviceEphemeralUsersEnabled | ล้างข้อมูลผู้ใช้เมื่อออกจากระบบ |
DeviceGuestModeEnabled | เปิดใช้งานโหมดผู้มาเยือน |
DeviceIdleLogoutTimeout | หมดเวลาจนกว่าจะดำเนินการออกจากระบบของผู้ใช้ที่ไม่มีการใช้งาน |
DeviceIdleLogoutWarningDuration | ระยะเวลาของข้อความเตือนการออกจากระบบจากการไม่มีการใช้งาน |
DeviceLocalAccountAutoLoginBailoutEnabled | เปิดใช้งานแป้นพิมพ์ลัด bailout สำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ |
DeviceLocalAccountAutoLoginDelay | เครื่องควบคุมเวลาเซสชันสาธารณะสำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ |
DeviceLocalAccountAutoLoginId | เซสชันสาธารณะสำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ |
DeviceLocalAccountPromptForNetworkWhenOffline | เปิดใช้พรอมต์การกำหนดค่าเครือข่ายเมื่อออฟไลน์ |
DeviceLocalAccounts | บัญชีภายในอุปกรณ์ |
DeviceLoginScreenDomainAutoComplete | เปิดใช้การเติมชื่อโดเมนอัตโนมัติระหว่างการลงชื่อเข้าใช้ของผู้ใช้ |
DeviceLoginScreenPowerManagement | การจัดการพลังงานบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ |
DeviceLoginScreenSaverId | โปรแกรมรักษาหน้าจอที่จะใช้ในหน้าจอการลงชื่อเข้าใช้ในโหมดปลีก |
DeviceLoginScreenSaverTimeout | ระยะเวลาการไม่ใช้งานก่อนที่โปรแกรมรักษาหน้าจอจะแสดงขึ้นบนหน้าจอลงชื่อเข้าใช้ในโหมดปลีก |
DeviceMetricsReportingEnabled | เปิดใช้งานการรายงานเมตริก |
DeviceOpenNetworkConfiguration | การกำหนดค่าเครือข่ายระดับอุปกรณ์ |
DevicePolicyRefreshRate | อัตราการรีเฟรชสำหรับนโยบายอุปกรณ์ |
DeviceRebootOnShutdown | เริ่มต้นใหม่โดยอัตโนมัติเมื่ออุปกรณ์ปิดเครื่อง |
DeviceShowUserNamesOnSignin | แสดงชื่อผู้ใช้บนหน้าจอการลงชื่อเข้าใช้ |
DeviceStartUpFlags | การตั้งค่าสถานะที่ใช้ทั้งระบบที่จะนำไปใช้กับการเริ่มต้นใช้งาน Google Chrome |
DeviceStartUpUrls | โหลด URL ที่ระบุเมื่อลงชื่อเข้าใช้การสาธิต |
DeviceTargetVersionPrefix | กำหนดเป้าหมายรุ่นที่อัปเดตอัตโนมัติ |
DeviceTransferSAMLCookies | โอนคุกกี้ SAML IdP ขณะลงชื่อเข้าใช้ |
DeviceUpdateAllowedConnectionTypes | ประเภทการเชื่อมต่อที่อนุญาตสำหรับการอัปเดต |
DeviceUpdateHttpDownloadsEnabled | อนุญาตการดาวน์โหลดการอัปเดตอัตโนมัติผ่านทาง HTTP |
DeviceUpdateScatterFactor | ปัจจัยการกระจายการอัปเดตอัตโนมัติ |
DeviceUserWhitelist | ลงชื่อเข้าใช้รายชื่อผู้ใช้ที่อนุญาต |
Disable3DAPIs | ปิดใช้งานการสนับสนุน API ของกราฟิก 3 มิติ |
DisablePluginFinder | ระบุว่าเครื่องมือค้นหาปลั๊กอินควรจะปิดใช้งานหรือไม่ |
DisablePrintPreview | ปิดใช้หน้าตัวอย่างก่อนพิมพ์ (เลิกใช้แล้ว) |
DisableSSLRecordSplitting | ปิดใช้ TLS False Start |
DisableSafeBrowsingProceedAnyway | ปิดใช้งานการดำเนินการต่อจากหน้าคำเตือน Safe Browsing |
DisableScreenshots | ปิดใช้งานการจับภาพหน้าจอ |
DisableSpdy | ปิดใช้งานโปรโตคอล SPDY |
DisabledPlugins | ระบุรายการปลั๊กอินที่ปิดใช้งาน |
DisabledPluginsExceptions | ระบุรายการปลั๊กอินที่ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้งาน |
DisabledSchemes | ปิดใช้งานสกีมโปรโตคอล URL |
DiskCacheDir | ตั้งค่าไดเรกทอรีสำหรับแคชของดิสก์ |
DiskCacheSize | ตั้งค่าขนาดแคชของดิสก์เป็นไบต์ |
DisplayRotationDefault | ตั้งค่าการหมุนหน้าจอเริ่มต้น ใช้การตั้งค่านี้ซ้ำทุกครั้งที่เริ่มระบบใหม่ |
DnsPrefetchingEnabled | เปิดใช้งานการคาดการณ์เครือข่าย |
DownloadDirectory | ตั้งค่าไดเรกทอรีสำหรับดาวน์โหลด |
EasyUnlockAllowed | อนุญาตให้ใช้ Smart Lock |
EditBookmarksEnabled | เปิดหรือปิดใช้งานการแก้ไขบุ๊กมาร์ก |
EnableDeprecatedWebBasedSignin | เปิดใช้การลงชื่อเข้าใช้ผ่านเว็บแบบเก่า |
EnableDeprecatedWebPlatformFeatures | เปิดใช้คุณลักษณะแพลตฟอร์มของเว็บที่เลิกใช้แล้วเป็นเวลาจำกัด |
EnableOnlineRevocationChecks | ดำเนินการตรวจสอบ OCSP/CRL แบบออนไลน์หรือไม่ |
EnabledPlugins | ระบุรายการปลั๊กอินที่เปิดใช้งาน |
EnterpriseWebStoreName | ชื่อเว็บสโตร์ขององค์กร (เลิกใช้งาน) |
EnterpriseWebStoreURL | URL เว็บสโตร์ขององค์กร (เลิกใช้งาน) |
ExtensionCacheSize | ตั้งค่าขนาดแคชของแอปและส่วนขยาย (เป็นไบต์) |
ExternalStorageDisabled | ปิดใช้งานการต่อเชื่อมที่จัดเก็บข้อมูลภายนอก |
ForceEphemeralProfiles | โปรไฟล์ชั่วคราว |
ForceGoogleSafeSearch | บังคับใช้ Google ค้นหาปลอดภัย |
ForceMaximizeOnFirstRun | ขยายขนาดหน้าต่างเบราว์เซอร์บานแรกให้ใหญ่ที่สุดเมื่อเรียกใช้งานครั้งแรก |
ForceSafeSearch | บังคับใช้ค้นหาปลอดภัย |
ForceYouTubeSafetyMode | บังคับใช้โหมดปลอดภัยของ YouTube |
FullscreenAllowed | อนุญาตโหมดเต็มหน้าจอ |
GCFUserDataDir | ตั้งไดเรกทอรีข้อมูลผู้ใช้สำหรับ Google Chrome Frame |
HardwareAccelerationModeEnabled | ใช้การเร่งฮาร์ดแวร์เมื่อสามารถใช้ได้ |
HeartbeatEnabled | ส่งการตรวจสอบฮาร์ตบีตไปยังเซิร์ฟเวอร์การจัดการ |
HeartbeatFrequency | ความถี่ของฮาร์ตบีตตรวจสอบ |
HideWebStoreIcon | ซ่อนเว็บสโตร์จากหน้าแท็บใหม่และเครื่องเรียกใช้งานแอป |
HideWebStorePromo | ป้องกันไม่ให้การส่งเสริมของแอปพลิเคชันไปปรากฏบนหน้าแท็บใหม่ |
ImportAutofillFormData | นำเข้าข้อมูลแบบฟอร์มที่ป้อนอัตโนมัติจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นเมื่อเรียกใช้ครั้งแรก |
ImportBookmarks | นำเข้าบุ๊กมาร์กจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการเรียกใช้งานครั้งแรก |
ImportHistory | นำเข้าประวัติการเรียกดูจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการเรียกใช้งานครั้งแรก |
ImportHomepage | การนำเข้าหน้าแรกจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการเรียกใช้งานครั้งแรก |
ImportSavedPasswords | นำเข้ารหัสผ่านที่บันทึกไว้จากเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการเรียกใช้งานครั้งแรก |
ImportSearchEngine | นำเข้าเครื่องมือค้นหาจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นในการเรียกใช้งานครั้งแรก |
IncognitoEnabled | เปิดใช้งานโหมดไม่ระบุตัวตน |
IncognitoModeAvailability | ความพร้อมใช้งานของโหมดไม่ระบุตัวตน |
InstantEnabled | เปิดใช้งานค้นหาทันใจ |
JavascriptEnabled | เปิดใช้งาน JavaScript |
KeyPermissions | สิทธิ์ของคีย์ |
LogUploadEnabled | ส่งบันทึกของระบบไปยังเซิร์ฟเวอร์การจัดการ |
ManagedBookmarks | บุ๊กมาร์กที่มีการจัดการ |
MaxConnectionsPerProxy | จำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์พร้อมกัน |
MaxInvalidationFetchDelay | การหน่วงเวลาสูงสุดในการดึงข้อมูลภายหลังการลบล้างนโยบาย |
MediaCacheSize | ตั้งค่าขนาดแคชของดิสก์สื่อเป็นไบต์ |
MetricsReportingEnabled | เปิดใช้งานการรายงานการใช้และข้อมูลเกี่ยวกับการขัดข้อง |
NetworkPredictionOptions | เปิดใช้งานการคาดการณ์เครือข่าย |
OpenNetworkConfiguration | การกำหนดค่าเครือข่ายระดับผู้ใช้ |
PinnedLauncherApps | รายชื่อของแอปพลิเคชันที่ตรึงจะแสดงในตัวเรียกใช้งาน |
PolicyRefreshRate | อัตราการรีเฟรชสำหรับนโยบายผู้ใช้ |
PrintingEnabled | เปิดใช้งานการพิมพ์ |
QuicAllowed | อนุญาตโปรโตคอล QUIC |
RC4Enabled | เปิดใช้ชุดการเข้ารหัส RC4 ใน TLS อยู่ไหม |
RebootAfterUpdate | รีบูตอัตโนมัติหลังจากการอัปเดต |
ReportDeviceActivityTimes | รายงานจำนวนครั้งของกิจกรรมบนอุปกรณ์ |
ReportDeviceBootMode | รายงานโหมดการบูตอุปกรณ์ |
ReportDeviceHardwareStatus | รายงานสถานะของฮาร์ดแวร์ |
ReportDeviceNetworkInterfaces | รายงานอินเทอร์เฟซเครือข่ายของอุปกรณ์ |
ReportDeviceSessionStatus | รายงานข้อมูลเกี่ยวกับเซสชันคีออสก์ที่ใช้งาน |
ReportDeviceUsers | รายงานผู้ใช้อุปกรณ์ |
ReportDeviceVersionInfo | รายงานรุ่นของระบบปฏิบัติการและเฟิร์มแวร์ |
ReportUploadFrequency | ความถี่ในการอัปโหลดรายงานสถานะของอุปกรณ์ |
RequireOnlineRevocationChecksForLocalAnchors | การตรวจสอบ OCSP/CRL ออนไลน์จำเป็นสำหรับ Anchors ความเชื่อถือได้ในตัว |
RestrictSigninToPattern | จำกัดผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตให้ลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome |
SAMLOfflineSigninTimeLimit | จำกัดเวลาที่ผู้ใช้ซึ่งตรวจสอบสิทธิ์ผ่าน SAML สามารถเข้าสู่ระบบในแบบออฟไลน์ |
SSLErrorOverrideAllowed | อนุญาตให้ดำเนินการจากหน้าคำเตือน SSL |
SSLVersionFallbackMin | TLS เวอร์ชันต่ำสุดที่ใช้สำรอง |
SSLVersionMin | เวอร์ชัน SSL ขั้นต่ำที่เปิดใช้ |
SafeBrowsingEnabled | เปิดใช้งาน Safe Browsing |
SafeBrowsingExtendedReportingOptInAllowed | อนุญาตให้ผู้ใช้เลือกใช้การรายงานเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Safe Browsing |
SavingBrowserHistoryDisabled | ปิดใช้งานการบันทึกประวัติเบราว์เซอร์ |
SearchSuggestEnabled | เปิดใช้งานคำแนะนำในการค้นหา |
SessionLengthLimit | จำกัดระยะเวลาเซสชัน |
SessionLocales | ตั้งค่าภาษาที่แนะนำสำหรับเซสชันสาธารณะ |
ShelfAutoHideBehavior | ควบคุมการซ่อนชั้นวางอัตโนมัติ |
ShowAppsShortcutInBookmarkBar | แสดงทางลัดของแอปในแถบบุ๊กมาร์ก |
ShowHomeButton | แสดงปุ่ม "หน้าแรก" บนแถบเครื่องมือ |
ShowLogoutButtonInTray | เพิ่มปุ่มออกจากระบบลงในถาดระบบ |
SigninAllowed | อนุญาตให้ลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome |
SpellCheckServiceEnabled | เปิดหรือปิดใช้งานบริการเว็บสำหรับการตรวจสอบการสะกด |
SuppressChromeFrameTurndownPrompt | ระงับการแจ้งเตือนการปฏิเสธของ Google Chrome Frame |
SuppressUnsupportedOSWarning | Suppress the unsupported OS warning |
SyncDisabled | ปิดใช้งานการซิงค์ข้อมูลกับ Google |
SystemTimezone | เขตเวลา |
SystemUse24HourClock | ใช้เวลารูปแบบ 24 ชั่วโมงโดยค่าเริ่มต้น |
TermsOfServiceURL | ตั้งข้อกำหนดในการให้บริการสำหรับบัญชีภายในอุปกรณ์ |
TouchVirtualKeyboardEnabled | เปิดใช้งานแป้นพิมพ์เสมือน |
TranslateEnabled | เปิดใช้งานแปลภาษา |
URLBlacklist | บล็อกการเข้าถึงรายการ URL |
URLWhitelist | อนุญาตให้เข้าถึงรายการ URL |
UnifiedDesktopEnabledByDefault | ทำให้เดสก์ท็อปแบบรวมหลายหน้าจอพร้อมใช้งานและเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้น |
UptimeLimit | จำกัดเวลาใช้งานของอุปกรณ์โดยการรีบูตอัตโนมัติ |
UserAvatarImage | รูปอวาตาร์ของผู้ใช้ |
UserDataDir | ตั้งค่าไดเรกทอรีข้อมูลผู้ใช้ |
UserDisplayName | ตั้งชื่อสำหรับแสดงสำหรับบัญชีภายในอุปกรณ์ |
VideoCaptureAllowed | อนุญาตหรือปฏิเสธการจับวิดีโอ |
VideoCaptureAllowedUrls | URL ที่จะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงอุปกรณ์จับภาพวิดีโอโดยไม่ต้องแจ้ง |
WPADQuickCheckEnabled | เปิดการเพิ่มประสิทธิภาพ WPAD |
WallpaperImage | รูปภาพวอลเปเปอร์ |
WelcomePageOnOSUpgradeEnabled | เปิดใช้การแสดงหน้าต้อนรับเมื่อเรียกใช้เบราว์เซอร์ครั้งแรกหลังการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ |
ระบุระยะเวลาก่อนหรี่แสงหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้ไฟ AC
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะหรี่แสงหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่หรี่แสงหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับระยะหน่วงเวลาการปิดหน้าจอ (หากตั้งค่า) และระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนปิดหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้ไฟ AC
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะปิดหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่ปิดหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนล็อกหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้ไฟ AC เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะล็อกหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่ล็อกหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
วิธีล็อกหน้าจอที่แนะนำในขณะที่ไม่ใช้งานคือ เปิดใช้งานการล็อกหน้าจอเมื่อถูกระงับการใช้งาน และให้ Google Chrome OS ระงับการใช้งานหลังจากระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน นโยบายนี้ควรใช้ในเวลาที่การล็อกหน้าจอควรจะเกิดขึ้นก่อนเวลาระงับการใช้งานเป็นเวลานาน หรือเมื่อไม่ต้องการใช้การระงับการใช้งานเมื่อไม่ใช้งานเลยเท่านั้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าความล่าช้าของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาที่ไม่มีอินพุตของผู้ใช้หลังจากที่ช่องโต้ตอบคำเตือนปรากฏขึ้นเมื่อทำงานด้วยไฟ AC
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะแสดงช่องโต้ตอบคำเตือนที่แจ้งผู้ใช้ว่าการดำเนินการแบบไม่ใช้งานกำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีช่องโต้ตอบคำเตือนปรากฏขึ้น
ค่าของนโยบายควรระบุในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้เหลือน้อยกว่าหรือเท่ากับความล่าช้าของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนตอบสนองการไม่มีการใช้งานเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะใช้ไฟ AC
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่า จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะไม่มีการใช้งาน ซึ่งสามารถกำหนดค่าแยกกันได้ เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที
ระบุระยะเวลาก่อนหรี่แสงหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะหรี่แสงหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่หรี่แสงหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับระยะหน่วงเวลาการปิดหน้าจอ (หากตั้งค่า) และระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนปิดหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะปิดหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่ปิดหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนล็อกหน้าจอเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้ด้วยค่าที่มากกว่าศูนย์ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะล็อกหน้าจอ
เมื่อนโยบายถูกตั้งค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่ล็อกหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่ใช้งาน
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
วิธีล็อกหน้าจอที่แนะนำในขณะที่ไม่ใช้งานคือ เปิดใช้งานการล็อกหน้าจอเมื่อถูกระงับการใช้งาน และให้ Google Chrome OS ระงับการใช้งานหลังจากระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน นโยบายนี้ควรใช้ในเวลาที่การล็อกหน้าจอควรจะเกิดขึ้นก่อนเวลาระงับการใช้งานเป็นเวลานาน หรือเมื่อไม่ต้องการใช้การระงับการใช้งานเมื่อไม่ใช้งานเลยเท่านั้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาที่ไม่มีอินพุตของผู้ใช้หลังจากที่ช่องโต้ตอบคำเตือนปรากฏขึ้นเมื่อใช้งานบนกำลังแบตเตอรีที่ต่ำ
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้ จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะแสดงช่องโต้ตอบคำเตือนที่แจ้งผู้ใช้ว่าการดำเนินการแบบไม่ใช้งานกำลังจะเกิดขึ้น
เมื่อไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีช่องโต้ตอบคำเตือนปรากฏขึ้น
ค่าของนโยบายควรระบุในหน่วยมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้เหลือน้อยกว่าหรือเท่ากับความล่าช้าของการไม่ใช้งาน
ระบุระยะเวลาก่อนตอบสนองการไม่มีการใช้งานเมื่อไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะทำงานโดยใช้พลังงานแบตเตอรี่
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่า จะเป็นการระบุระยะเวลาที่ผู้ใช้ต้องไม่ใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะไม่มีการใช้งาน ซึ่งสามารถกำหนดค่าแยกกันได้
เมื่อนโยบายไม่มีการตั้งค่า ระบบจะใช้ระยะเวลาในค่าเริ่มต้น
ค่านโยบายควรกำหนดในหน่วยมิลลิวินาที
ระบุการดำเนินการที่จะดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานจนถึงการหน่วงเวลาที่กำหนด
โปรดทราบว่านโยบายนี้เลิกใช้แล้วและจะถูกลบออกในอนาคต
นโยบายนี้จะให้ค่าสำรองสำหรับนโยบาย IdleActionAC และ IdleActionBattery ที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น หากนโยบายนี้ถูกกำหนด ค่าของนโยบายจะถูกใช้ในกรณีที่นโยบายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นตามลำดับไม่ได้ถูกกำหนด
เมื่อนโยบายนี้ถูกล้าง ลักษณะการทำงานของนโยบายที่เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้นจะยังคงไม่ได้รับผลกระทบ
ระบุการกระทำที่จะดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานจนถึงการหน่วงเวลาที่กำหนด ขณะที่ใช้พลังงานจากไฟฟ้า AC
เมื่อนโยบายนี้ถูกกำหนด นโยบายจะระบุการกระทำที่ Google Chrome OS จะดำเนินการเมื่อผู้ใช้ยังคงไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยการหน่วงเวลาไม่ใช้งาน ซึ่งสามารถกำหนดค่าแยกต่างหาก
เมื่อนโยบายนี้ถูกล้าง การกระทำเริ่มต้นจะถูกดำเนินการ ซึ่งก็คือการระงับ
หากการกระทำถูกระงับ Google Chrome OS สามารถถูกกำหนดค่าแยกต่างหากเพื่อล็อกหรือไม่ล็อกหน้าจอก่อนการระงับ
ระบุการกระทำที่จะดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานจนถึงการหน่วงเวลาที่กำหนด ขณะที่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่
เมื่อนโยบายนี้ถูกกำหนด นโยบายจะระบุการกระทำที่ Google Chrome OS จะดำเนินการเมื่อผู้ใช้ยังคงไม่ได้ใช้งานเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยการหน่วงเวลาไม่ใช้งาน ซึ่งสามารถกำหนดค่าแยกต่างหาก
เมื่อนโยบายนี้ถูกล้าง การกระทำเริ่มต้นจะถูกดำเนินการ ซึ่งก็คือการระงับ
หากการกระทำถูกระงับ Google Chrome OS สามารถถูกกำหนดค่าแยกต่างหากเพื่อล็อกหรือไม่ล็อกหน้าจอก่อนการระงับ
ระบุการทำงานเมื่อผู้ใช้ปิดฝาเครื่อง
เมื่อนโยบายนี้ถูกกำหนดไว้ จะมีการระบุการทำงานของ Google Chrome OS เมื่อผู้ใช้ปิดฝาอุปกรณ์
เมื่อไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้การทำงานเริ่มต้น นั่นก็คือการระงับการใช้งาน
หากการทำงานเป็นการระงับการใช้งาน คุณสามารถกำหนดค่า Google Chrome OS แยกกันเพื่อล็อกหรือไม่ล็อกหน้าจอก่อนการระงับการใช้งานได้
ระบุว่ากิจกรรมเสียงมีผลต่อการจัดการพลังงานหรือไม่
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็นจริงหรือไม่ถูกตั้งค่า ผู้ใช้จะไม่ถูกพิจารณาว่าไม่ใช้งานในขณะกำลังเล่นไฟล์เสียง การดำเนินการนี้ป้องกันการหมดเวลาไม่ใช้งาน และป้องกันการไม่ใช้งาน แต่จะยังมีการดำเนินการหรี่แสงหน้าจอ การปิดหน้าจอ และการล็อกหน้าจอหลังจากได้กำหนดค่าระยะหมดเวลาแล้ว โดยไม่มีผลกับกิจกรรมเสียง
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็นเท็จ กิจกรรมเสียงจะไม่ป้องกันผู้ใช้การจากถูกพิจารณาว่าไม่ใช้งาน
ระบุว่ากิจกรรมวิดีโอมีผลต่อการจัดการพลังงานหรือไม่
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" หรือไม่ถูกตั้งค่า ผู้ใช้จะไม่ถูกพิจารณาว่าไม่มีการใช้งานในขณะกำลังเล่นวิดีโอ การดำเนินการนี้ป้องกันไม่ให้มีการเข้าถึงระยะหน่วงเวลาของการไม่ใช้งาน ระยะหน่วงเวลาการหรี่แสงหน้าจอ ระยะหน่วงเวลาการปิดหน้าจอ และระยะหน่วงเวลาการล็อกหน้าจอ และป้องกันไม่ให้มีการทำงานที่สอดคล้องกัน
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" กิจกรรมวิดีโอจะไม่ป้องกันผู้ใช้การจากถูกพิจารณาว่าไม่มีการใช้งาน
นโยบายนี้ได้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ Google Chrome OS เวอร์ชัน 29 โปรดใช้นโยบาย PresentationScreenDimDelayScale แทน
ระบุเปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอเมื่ออุปกรณ์อยู่ในโหมดการนำเสนอ
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่า นโยบายจะระบุเปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอเมื่ออุปกรณ์อยู่ในโหมดการนำเสนอ เมื่อมีการปรับระดับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอ การปิดหน้าจอปิด การล็อกหน้าจอ และการหน่วงเวลาของการไม่ใช้งานจะได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อรักษาระยะจากการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอให้อยู่ในระดับเดียวกันกับค่ากำหนดเดิม
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า แฟกเตอร์การปรับระดับเริ่มต้นจะถูกนำมาใช้
แฟกเตอร์การปรับระดับต้องเป็น 100% หรือมากกว่า ไม่อนุญาตให้ใช้ค่าที่จะทำให้การหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอในโหมดการนำเสนอสั้นกว่าการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอปกติ
ระบุว่าอนุญาตให้ล็อกหน้าจอให้เปิดค้างหรือไม่ สามารถส่งคำขอล็อกหน้าจอให้เปิดค้างได้โดยใช้ส่วนขยายผ่านทาง API ส่วนขยายการจัดการพลังงาน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True หรือไม่ตั้งค่า การล็อกหน้าจอให้เปิดค้างจะยึดตามการจัดการพลังงาน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False คำขอล็อกหน้าจอให้เปิดค้างจะถูกละเว้น
ระบุเปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอเมื่อสังเกตพบกิจกรรมของผู้ใช้ในขณะที่หน้าจอสลัวลง หรือไม่นานหลังจากที่หน้าจอถูกปิดไป
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่า นโยบายจะระบุเปอร์เซ็นต์ของระดับการปรับการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอเมื่อสังเกตพบกิจกรรมของผู้ใช้ในขณะที่หน้าจอสลัวลง หรือไม่นานหลังจากที่หน้าจอถูกปิดไป เมื่อมีการปรับระดับการหน่วงเวลาการสลัว การปิดหน้าจอ การล็อกหน้าจอ และการหน่วงเวลาการไม่ใช้งานจะได้รับการปรับเปลี่ยนเพื่อรักษาระยะจากการหน่วงเวลาการสลัวหน้าจอให้อยู่ในระดับเดียวกันกับค่ากำหนดเดิม
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า แฟกเตอร์การปรับระดับเริ่มต้นจะถูกนำมาใช้
แฟกเตอร์การปรับระดับต้องเป็น 100% หรือมากกว่า
ระบุว่าจะหน่วงเวลาการจัดการพลังงานไหม และการจำกัดความยาวเซสชันควรเริ่มทำงานหลังจากสังเกตพบกิจกรรมแรกของผู้ใช้ในเซสชันเท่านั้นไหม
หากนโยบายนี้ได้รับการตั้งค่าเป็นจริง การจัดการพลังงานจะหน่วงเวลาและการจำกัดความยาวเซสชันจะไม่เริ่มทำงานหลังจากสังเกตพบกิจกรรมแรกของผู้ใช้ในเซสชัน
หากนโยบายนี้ได้รับการตั้งค่าเป็นเท็จหรือไม่ได้ตั้งค่า การจัดการพลังงานจะหน่วงเวลาและการจำกัดความยาวเซสชันจะเริ่มทำงานทันทีที่เริ่มเซสชัน
กำหนดค่าการตั้งค่าการจัดการพลังงานเมื่อผู้ใช้ไม่มีการใช้งาน
นโยบายนี้จะควบคุมการตั้งค่าหลายอย่างสำหรับกลยุทธ์การจัดการพลังงานเมื่อผู้ใช้ไม่มีการใช้งาน
การทำงานแบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้: * หน้าจอจะสลัวถ้าผู้ใช้ยังคงไม่ใช้งานเป็นเวลาตามที่ระบุโดย |ScreenDim| * หน้าจอจะปิดลงถ้าผู้ใช้ยังคงไม่ใช้งานเป็นเวลาตามที่ระบุโดย |ScreenOff| * กล่องคำเตือนจะแจ้งเตือนถ้าผู้ใช้ยังคงไม่ใช้งานเป็นเวลาตามที่ระบุโดย |IdleWarning| ซึ่งจะแจ้งผู้ใช้ว่ากำลังจะเริ่มการทำงานสำหรับการไม่ใช้งาน * การทำงานที่ระบุโดย |IdleAction| จะเริ่มต้นถ้าผู้ใช้ยังคงไม่ใช้งานเป็นเวลาตามที่ระบุโดย |Idle|
สำหรับการทำงานแต่ละประเภทข้างต้น ควรระบุการหน่วงเวลาโดยมีหน่วยเป็นมิลลิวินาทีและต้องตั้งค่าเป็นค่าที่มากกว่าศูนย์เพื่อเรียกการทำงานที่เกี่ยวข้อง ในกรณีที่การหน่วงเวลามีค่าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่เริ่มการทำงานที่เกี่ยวข้อง
สำหรับการหน่วงเวลาแต่ละประเภทข้างต้น เมื่อไม่มีการตั้งค่าระยะเวลา ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้น
โปรดทราบว่าค่า |ScreenDim| จะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ |ScreenOff| ส่วน |ScreenOff| และ |IdleWarning| จะถูกบีบให้น้อยกว่าหรือเท่ากับ |Idle|
|IdleAction| อาจเป็นการทำงานหนึ่งใน 4 กรณีต่อไปนี้: * |Suspend| * |Logout| * |Shutdown| * |DoNothing|
เมื่อไม่มีการตั้งค่า |IdleAction| ระบบจะใช้การทำงานที่เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งก็คือการระงับการใช้งาน
นอกจากนี้ยังมีการตั้งค่าแยกต่างหากสำหรับไฟ AC และแบตเตอรี่ด้วย
ระบุระยะเวลาที่ต้องการให้ล็อกหน้าจอหากไม่มีการป้อนข้อมูลจากผู้ใช้ขณะที่กำลังใช้ไฟ AC หรือแบตเตอรี่
เมื่อตั้งค่าระยะเวลาเป็นค่าที่มากกว่าศูนย์ ค่าดังกล่าวจะแสดงถึงระยะเวลาที่ผู้ใช้ไม่มีการใช้งานก่อนที่ Google Chrome OS จะล็อกหน้าจอ
เมื่อตั้งค่าระยะเวลาเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะไม่ล็อกหน้าจอเมื่อผู้ใช้ไม่มีการใช้งาน
เมื่อไม่มีการตั้งค่าระยะเวลา ระบบจะใช้ระยะเวลาที่เป็นค่าเริ่มต้น
วิธีที่แนะนำในการล็อกหน้าจอเมื่อไม่มีการใช้งานคือการเปิดใช้การล็อกหน้าจอเมื่อระงับการใช้งานและให้ Google Chrome OS ระงับการใช้งานหลังจากการหน่วงเวลาเมื่อไม่มีการใช้งาน นโยบายนี้ควรนำมาใช้เฉพาะเมื่อการล็อกหน้าจอเกิดขึ้นนานแล้วก่อนที่จะมีการระงับการใช้งานหรือเมื่อไม่ต้องการให้ระงับการใช้งานเลยเมื่อไม่มีการใช้งาน
ควรระบุค่าของนโยบายโดยมีหน่วยเป็นมิลลิวินาที ค่าจะถูกบีบให้น้อยกว่าการหน่วงเวลาเมื่อไม่มีการใช้งาน
หากตั้งค่าเป็นจริง จะสามารถสร้างและใช้งานผู้ใช้ภายใต้การดูแลได้
หากตั้งค่าเป็นเท็จหรือไม่ได้กำหนดค่า การสร้างผู้ใช้ภายใต้การดูแลและการเข้าสู่ระบบของผู้ใช้ภายใต้การดูแลจะถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้ภายใต้การดูแลที่มีอยู่ทั้งหมดจะถูกซ่อนไว้
หมายเหตุ: การทำงานเริ่มต้นสำหรับอุปกรณ์ของผู้บริโภคและอุปกรณ์ขององค์กรจะแตกต่างกัน: บนอุปกรณ์ของผู้บริโภค ผู้ใช้ภายใต้การดูแลจะถูกเปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้น แต่จะปิดใช้งานโดยค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ขององค์กร
หากตั้งค่าเป็นเท็จ การสร้างผู้ใช้ภายใต้การดูแลโดยผู้ใช้รายนี้จะถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้ภายใต้การดูแลใดๆ ที่มีอยู่แล้วจะยังคงมีอยู่
หากตั้งค่าเป็นจริงหรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้รายนี้จะสามารถสร้างและจัดการผู้ใช้ภายใต้การดูแลได้
หากเป็น True และผู้ใช้เป็นผู้ใช้ภายใต้การดูแล แอป Android อื่นๆ จะสามารถสืบค้นข้อจำกัดด้านเว็บของผู้ใช้คนดังกล่าวผ่านผู้ให้บริการเนื้อหาได้
หากเป็น False หรือไม่ได้ตั้งค่า ผู้ให้บริการเนื้อหาจะไม่แสดงข้อมูลใดๆ
แสดงตัวเลือกการเข้าถึง Google Chrome OS ในเมนูระบบ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "จริง" ตัวเลือกการเข้าถึงจะแสดงในเมนูถาดระบบเสมอ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" ตัวเลือกการเข้าถึงจะไม่แสดงในเมนูถาดระบบ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย ตัวเลือกการเข้าถึงจะไม่แสดงในเมนูถาดระบบ แต่ผู้ใช้สามารถทำให้ตัวเลือกการเข้าถึงปรากฏได้จากหน้าการตั้งค่า
เปิดใช้งานคุณลักษณะการเข้าถึงเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกเปิดใช้งานเสมอ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกปิดใช้งานเสมอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างได้
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกปิดใช้งานในขั้นต้น แต่จะสามารถเปิดใช้งานโดยผู้ใช้ได้ทุกเมื่อ
เปิดใช้งานคุณลักษณะการเข้าถึงเสียงพูดตอบรับ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" เสียงพูดตอบรับจะถูกเปิดใช้งานเสมอ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" เสียงพูดตอบรับจะถูกปิดใช้งานเสมอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างได้
หากนโยบายนี้ไม่ได้มีการตั้งค่า เสียงพูดตอบรับจะถูกปิดใช้งานในขั้นต้น แต่จะสามารถเปิดใช้งานโดยผู้ใช้ได้ทุกเมื่อ
เปิดใช้งานคุณลักษณะการเข้าถึงโหมดคอนทราสต์สูง
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกเปิดใช้งานเสมอ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกปิดใช้งานเสมอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างได้
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกปิดใช้งานในขั้นต้น แต่สามารถเปิดใช้งานโดยผู้ใช้ได้ทุกเมื่อ
เปิดใช้คุณลักษณะการเข้าถึงแป้นพิมพ์บนหน้าจอ
หากตั้งค่านโยบายเป็น "จริง" จะมีการเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอไว้เสมอ
หากตั้งค่านโยบายเป็น "เท็จ" จะมีการปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอไว้เสมอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างนโยบายได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย จะมีการปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอไว้ แต่ผู้ใช้สามารถเปิดใช้ได้ทุกเมื่อ
เปลี่ยนการทำงานที่เป็นค่าเริ่มต้นของแป้นแถวบนสุดเป็นแป้นฟังก์ชัน
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น "จริง" แป้นแถวบนสุดของแป้นพิมพ์จะให้ผลการทำงานเป็นคำสั่งของแป้นฟังก์ชันตามค่าเริ่มต้น โดยจะต้องกดแป้นค้นหาเพื่อเปลี่ยนการทำงานกลับไปเป็นแป้นสื่อ
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น "เท็จ" หรือไม่ได้ตั้งค่าไว้ แป้นพิมพ์จะให้ผลการทำงานเป็นคำสั่งของแป้นสื่อตามค่าเริ่มต้นและคำสั่งของแป้นฟังก์ชันเมื่อกดแป้นค้นหาค้างไว้
กำหนดประเภทของแว่นขยายหน้าจอที่เปิดใช้งาน
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่า นโยบายจะควบคุมประเภทของแว่นขยายหน้าจอที่เปิดใช้งาน การตั้งค่านโยบายเป็น "ไม่มี" จะปิดใช้งานแว่นขยายหน้าจอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างได้
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า แว่นขยายหน้าจอจะถูกปิดใช้งานในขั้นต้น แต่สามารถเปิดใช้งานโดยผู้ใช้ได้ทุกเมื่อ
ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของคุณลักษณะการเข้าถึงเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่าเป็น "จริง" เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกเปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้น
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่าเป็น "เท็จ" เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้น
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถลบล้างได้ชั่วคราวโดยการเปิดหรือปิดใช้งานเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่ อย่างไรก็ตาม การเลือกของผู้ใช้ไม่ได้เป็นการถาวรและค่าเริ่มต้นจะถูกเรียกคืนกลับมาเมื่อใดก็ตามที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้นอีกครั้ง หรือเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ดำเนินการใดๆ บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบเป็นเวลาหนึ่งนาที
หากนโยบายไม่มีการตั้งค่า เคอร์เซอร์ขนาดใหญ่จะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงเป็นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้งานเคอร์เซอร์ขนาดใหญ่ได้ตลอดเวลา และสถานะของเคอร์เซอร์บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบจะยังคงค้างอยู่สำหรับการใช้งานระหว่างผู้ใช้รายต่างๆ
ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของคุณลักษณะการเข้าถึงเสียงพูดตอบรับบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" เสียงพูดตอบรับจะถูกเปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดง
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" เสียงพูดตอบรับจะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดง
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถลบล้างได้ชั่วคราวโดยการเปิดหรือปิดใช้งานเสียงพูดตอบรับ อย่างไรก็ตาม การเลือกของผู้ใช้ไม่ได้เป็นการถาวรและค่าเริ่มต้นจะถูกเรียกคืนกลับเมื่อใดก็ตามที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงอีกครั้งหรือผู้ใช้ยังคงไม่ได้ใช้งานบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบเป็นเวลาหนึ่งนาที
หากนโยบายนี้ไม่ได้มีการตั้งค่า เสียงพูดตอบรับจะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงเป็นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้งานเสียงพูดตอบรับได้ตลอดเวลา และสถานะของเสียงพูดตอบรับบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบจะยังคงอยู่ระหว่างผู้ใช้
ตั้งค่าสถานะเริ่มต้นของคุณลักษณะการเข้าถึงโหมดคอนทราสต์สูงบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกเปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้น
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้น
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถลบล้างได้ชั่วคราวโดยการเปิดหรือปิดใช้งานโหมดคอนทราสต์สูง อย่างไรก็ตาม การเลือกของผู้ใช้ไม่ได้เป็นการถาวรและค่าเริ่มต้นจะถูกเรียกคืนกลับมาเมื่อใดก็ตามที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้นอีกครั้ง หรือเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ดำเนินการใดๆ บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบเป็นเวลาหนึ่งนาที
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า โหมดคอนทราสต์สูงจะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงเป็นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้งานโหมดคอนทราสต์สูงได้ตลอดเวลา และสถานะบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบจะยังคงค้างอยู่สำหรับการใช้งานในระหว่างผู้ใช้รายต่างๆ
ตั้งสถานะเริ่มต้นของคุณลักษณะการเข้าถึงแป้นพิมพ์บนหน้าจอบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "จริง" จะมีการเปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบปรากฏ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" จะมีการปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบปรากฏ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถลบล้างการตั้งค่าชั่วคราวได้โดยการเปิดหรือปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอ อย่างไรก็ตาม ตัวเลือกของผู้ใช้จะไม่คงอยู่ตลอดไป และระบบจะนำค่าเริ่มต้นกลับมาใช้ทุกครั้งที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบปรากฏ หรือผู้ใช้ไม่มีการใช้งานบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบเป็นเวลาหนึ่งนาที
หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะถูกปิดเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบปรากฏขึ้นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดแป้นพิมพ์บนหน้าจอเมื่อใดก็ได้ และสถานะของแป้นพิมพ์นั้นบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบจะคงอยู่ตลอดระหว่างการใช้งานของผู้ใช้แต่ละคน
ตั้งค่าประเภทเริ่มต้นของแว่นขยายหน้าจอที่เปิดใช้งานบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่า นโยบายจะควบคุมประเภทของแว่นขยายหน้าจอที่เปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้น การตั้งค่านโยบายเป็น "ไม่มี" จะปิดใช้งานแว่นขยายหน้าจอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถลบล้างได้ชั่วคราวโดยการเปิดหรือปิดใช้งานแว่นขยายหน้าจอ อย่างไรก็ตาม การเลือกของผู้ใช้ไม่ได้เป็นการถาวรและค่าเริ่มต้นจะถูกเรียกคืนกลับมาเมื่อใดก็ตามที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้นอีกครั้ง หรือเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ดำเนินการใดๆ บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบเป็นเวลาหนึ่งนาที
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่า แว่นขยายหน้าจอจะถูกปิดใช้งานเมื่อหน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงขึ้นเป็นครั้งแรก ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้งานแว่นขยายหน้าจอได้ตลอดเวลาและสถานะบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบจะยังคงค้างอยู่สำหรับการใช้งานในระหว่างผู้ใช้รายต่างๆ
ให้คุณตั้งค่าว่าจะอนุญาตให้เว็บไซต์ตั้งค่าข้อมูลในเครื่องไหม โดยสามารถอนุญาตทุกเว็บไซต์หรือปฏิเสธทุกเว็บไซต์ในการตั้งค่าข้อมูลในเครื่อง
หากตั้งค่านโยบายเป็น "เก็บคุกกี้ไว้ภายในช่วงเวลาของเซสชัน" ระบบจะล้างคุกกี้เมื่อเซสชันปิดลง โปรดทราบว่าหาก Google Chrome ทำงานใน "โหมดพื้นหลัง" เซสชันอาจไม่ปิดเมื่อคุณปิดหน้าต่างบานสุดท้าย โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดค่าลักษณะการทำงานนี้ได้จากนโยบาย "BackgroundModeEnabled"
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ ระบบจะนำ "AllowCookies" มาใช้ และผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้
ช่วยให้คุณกำหนดได้ว่าเว็บไซต์จะได้รับอนุญาตให้แสดงภาพหรือไม่ โดยสามารถจะอนุญาตให้มีการแสดงภาพสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดหรือปฏิเสธสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดก็ได้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ "AllowImages" และผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณกำหนดว่าเว็บไซต์จะได้รับอนุญาตให้เรียกใช้ JavaScript หรือไม่ การเรียกใช้ JavaScript อาจจะได้รับอนุญาตสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดหรือปฏิเสธสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดก็ได้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ "AllowJavaScript" และผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณสามารถตั้งค่าได้ว่าจะอนุญาตให้เว็บไซต์ใดเรียกใช้ปลั๊กอินโดยอัตโนมัติบ้าง สามารถอนุญาตหรือปฏิเสธการเรียกใช้ปลั๊กอินโดยอัตโนมัติสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดได้
คลิกเพื่อเล่นทำให้ปลั๊กอินสามารถทำงานได้ แต่ผู้ใช้ต้องคลิกที่ปลั๊กอินเพื่อเริ่มต้นการทำงาน
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ "อนุญาตปลั๊กอิน" จะถูกนำมาใช้ และผู้ใช้สามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณกำหนดว่าเว็บไซต์จะได้รับอนุญาตให้แสดงป๊อปอัปหรือไม่ การแสดงป๊อปอัปสามารถจะได้รับอนุญาตสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดหรือปฏิเสธสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมดก็ได้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ "BlockPopups" และผู้ใช้สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณกำหนดว่าเว็บไซต์จะได้รับอนุญาตให้แสดงการแจ้งเตือนเดสก์ท็อปหรือไม่ การแสดงการแจ้งเตือนเดสก์ท็อปอาจจะได้รับอนุญาตโดยค่าเริ่มต้น ปฏิเสธโดยค่าเริ่มต้น หรือผู้ใช้อาจได้รับคำถามทุกครั้งที่เว็บไซต์ต้องการจะแสดงการแจ้งเตือนเดสก์ท็อป หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ "AskNotifications" และผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณกำหนดว่าเว็บไซต์จะได้รับอนุญาตให้ติดตามตำแหน่งทางกายภาพของผู้ใช้หรือไม่ การติดตามตำแหน่งทางกายภาพของผู้ใช้สามารถได้รับอนุญาตตามค่าเริ่มต้น ปฏิเสธโดยค่าเริ่มต้น หรือระบบสามารถถามผู้ใช้ทุกครั้งที่เว็บไซต์ขอตำแหน่งทางกายภาพ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ "AskGeolocation" และผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
อนุญาตให้คุณตั้งค่าว่าจะอนุญาตให้เว็บไซต์เข้าถึงอุปกรณ์จับสื่อภาพ/เสียงหรือไม่ การเข้าถึงอุปกรณ์จับสื่อภาพ/เสียงอาจได้รับอนุญาตโดยค่าเริ่มต้น หรือผู้ใช้สามารถรับข้อความสอบถามทุกๆ ครั้งที่เว็บไซต์ต้องการเข้าถึงอุปกรณ์จับสื่อภาพ/เสียง
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ "PromptOnAccess" จะถูกใช้และผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
ช่วยให้คุณกำหนดว่าเว็บไซต์ได้รับอนุญาตให้ใช้การสร้างคีย์หรือไม่ โดยสามารถอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เว็บไซต์ทั้งหมดใช้การสร้างคีย์
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ ระบบจะใช้ "BlockKeygen" และผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
อนุญาตให้คุณกำหนดรายการรูปแบบ URL ซึ่งระบุเว็บไซต์ที่ Google Chrome ควรเลือกใบรับรองไคลเอ็นต์ให้โดยอัตโนมัติ หากเว็บไซต์ดังกล่าวขอใบรับรอง
ค่าต้องเป็นอาร์เรย์ของพจนานุกรม JSON ซึ่งมีรูปแบบเป็นสตริง พจนานุกรมแต่ละรายการต้องอยู่ในรูปแบบ { "pattern": "$URL_PATTERN", "filter" : $FILTER } โดยที่ $URL_PATTERN เป็นรูปแบบการตั้งค่าเนื้อหา ส่วน $FILTER จะจำกัดใบรับรองไคลเอ็นต์ที่เบราว์เซอร์จะเลือกโดยอัตโนมัติ ระบบจะเลือกเฉพาะใบรับรองที่ตรงกับคำขอใบรับรองของเซิร์ฟเวอร์เท่านั้น โดยไม่คำนึงถึงตัวกรอง หาก $FILTER อยู่ในรูปแบบ { "ISSUER": { "CN": "$ISSUER_CN" } } ระบบจะเลือกเฉพาะใบรับรองไคลเอ็นต์ซึ่งออกโดยใบรับรองที่ใช้ CommonName $ISSUER_CN เพิ่มเข้ามา หาก $FILTER คือพจนานุกรมเปล่า {} การเลือกใบรับรองไคลเอ็นต์จะไม่มีข้อจำกัดเพิ่มเติม
หากไม่มีการกำหนดนโยบายนี้ จะไม่มีการเลือกใบรับรองโดยอัตโนมัติสำหรับเว็บไซต์ใดก็ตาม
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งค่าคุกกี้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultCookiesSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ตั้งค่าคุกกี้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นของทั่วโลกสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultCookiesSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้
อนุญาตให้คุณตั้งค่ารูปแบบ URL ที่ระบุเว็บไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งค่าคุกกี้เฉพาะเซสชัน
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้นสากลสำหรับทุกเว็บไซต์จากนโยบาย "DefaultCookiesSetting'" หากตั้งค่า หรือมิเช่นนั้นจะใช้จากการกำหนดค่าส่วนตัวของผู้ใช้ โปรดทราบว่าหาก Google Chrome กำลังเปิดอยู่ใน "โหมดพื้นหลัง" อาจปิดเซสชันไม่ได้เมื่อปิดหน้าต่างเบราว์เซอร์ล่าสุด โดยเซสชันจะยังใช้งานอยู่จนกว่าเบราว์เซอร์จะออก โปรดดูนโยบาย "BackgroundModeEnabled" สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำหนดค่าลักษณะการทำงานนี้
หากมีการตั้งค่านโยบาย "RestoreOnStartup" เพื่อเรียกคืน URL จากเซสชันก่อนหน้า นโยบายนี้จะไม่ได้รับการยอมรับและจะไม่มีการจัดเก็บคุกกี้อย่างถาวรสำหรับเว็บไซต์เหล่านั้น
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้แสดงภาพ หากนโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultImagesSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงภาพ หากนโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultImagesSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกใช้ JavaScript หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultJavaScriptSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกใช้ JavaScript หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นของทั่วโลกสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultJavaScriptSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้
ช่วยให้คุณกำหนดรายการรูปแบบ URL ที่ระบุเว็บไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้การสร้างคีย์ หากรูปแบบ URL อยู่ใน "KeygenBlockedForUrls" นโยบายนี้จะลบล้างข้อยกเว้นเหล่านี้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultKeygenSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนตัวของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการรูปแบบ URL ที่ระบุเว็บไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้การสร้างคีย์ หากรูปแบบ URL อยู่ใน "KeygenBlockedForUrls" นโยบายนี้จะลบล้างข้อยกเว้นเหล่านี้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับเว็บไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultKeygenSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนตัวของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้เรียกใช้ปลั๊กอิน หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultPluginsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกใช้ปลั๊กอิน หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultPluginsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้เปิดป๊อปอัป หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultPopupsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
อนุญาตให้คุณลงทะเบียนรายชื่อเครื่องจัดการโปรโตคอล ซึ่งจะแนะนำได้โดยนโยบายเท่านั้น ต้องมีการตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ |protocol| ในรูปแบบ เช่น "mailto" และต้องมีการตั้งค่าพร็อพเพอร์ตี้ |url| ในรูปแบบ URL ของแอปพลิเคชันที่จัดการรูปแบบดังกล่าว รูปแบบอาจมี "%s" ซึ่งจะแทนที่ด้วย URL ที่มีการจัดการหากปรากฏขึ้น
เครื่องจัดการโปรโตคอลที่นโยบายลงทะเบียนจะรวมเข้ากับเครื่องจัดการที่ผู้ใช้ลงทะเบียน และจะพร้อมใช้งานทั้งสองแบบ ผู้ใช้สามารถแทนที่เครื่องจัดการโปรโตคอลที่นโยบายติดตั้ง โดยการติดตั้งเครื่องจัดการเริ่มต้นใหม่ แต่จะไม่สามารถนำเครื่องจัดการโปรโตคอลที่นโยบายลงทะเบียนออกได้
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้เปิดป๊อปอัป หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultPopupsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้ หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ได้รับอนุญาตให้แสดงการแจ้งเตือน หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultNotificationsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
ช่วยให้คุณกำหนดรายการของรูปแบบ URL ที่ระบุไซต์ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แสดงการแจ้งเตือน หากนโยบายนี้ไม่มีการกำหนดไว้ จะใช้ค่าเริ่มต้นทั่วไปสำหรับไซต์ทั้งหมด ทั้งจากนโยบาย "DefaultNotificationsSetting" หากมีการตั้งค่าไว้หรือจากการกำหนดค่าส่วนบุคคลของผู้ใช้เอง
หากถูกตั้งค่าเป็น "จริง" การรับรองระยะไกลที่ได้รับอนุญาตสำหรับอุปกรณ์และใบรับรองจะถูกสร้างและอัปโหลดไปยังเซิร์ฟเวอร์การจัดการอุปกรณ์โดยอัตโนมัติ
หากถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" หรือหากไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีการสร้างใบรับรองใดๆ และการติดต่อกับ API ส่วนขยาย enterprise.platformKeysPrivate จะล้มเหลว
หากค่าเป็น True ผู้ใช้สามารถใช้ฮาร์ดแวร์บนอุปกรณ์ Chrome เพื่อยืนยันข้อมูลประจำตัวจากระยะไกลไปยัง CA ข้อมูลส่วนบุคคลผ่านทาง API คีย์แพลตฟอร์มของบริษัท chrome.enterprise.platformKeysPrivate.challengeUserKey()
หากค่าถูกตั้งเป็น False หรือไม่ได้รับการตั้งค่า การเรียกไปยัง API จะล้มเหลวโดยมีรหัสข้อผิดพลาด
นโยบายนี้ระบุส่วนขยายที่ได้รับอนุญาตในการใช้ API คีย์แพลตฟอร์มของบริษัท chrome.enterprise.platformKeysPrivate.challengeUserKey() สำหรับการยืนยันจากระยะไกล โดยต้องเพิ่มส่วนขยายลงในรายการนี้เพื่อใช้ API
หากส่วนขยายไม่อยู่ในรายการ หรือรายการไม่ได้รับการตั้งค่า การเรียกไปยัง API จะล้มเหลวโดยมีรหัสข้อผิดพลาด
อุปกรณ์ Chrome OS สามารถใช้การรับรองจากระยะไกล (การเข้าถึงที่ยืนยันแล้ว) เพื่อรับใบรับรองที่ออกโดย Chrome OS CA ที่รับรองว่าอุปกรณ์มีสิทธิ์เล่นเนื้อหาที่ได้รับความคุ้มครอง ขั้นตอนนี้เกี่ยวข้องกับการส่งข้อมูลการรับรองฮาร์ดแวร์ไปยัง Chrome OS CA ที่ระบุอุปกรณ์โดยไม่ซ้ำกัน
หากการตั้งค่านี้เป็น "เท็จ" อุปกรณ์จะไม่ใช้การรับรองจากระยะไกลสำหรับการปกป้องเนื้อหาและอุปกรณ์อาจไม่สามารถเล่นเนื้อหาที่ได้รับความคุ้มครองได้
หากการตั้งค่านี้เป็น "จริง" หรือไม่ได้ตั้งค่า การรับรองจากระยะไกลอาจถูกใช้สำหรับการปกป้องเนื้อหา
ช่วยให้คุณสามารถระบุว่าโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมใดที่ไม่ควรโหลด
ค่า "*" ของบัญชีดำหมายถึงโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมทั้งหมดอยู่ในบัญชีดำ เว้นเสียแต่ว่าจะได้รับการระบุอย่างชัดแจ้งให้อยู่ในรายการที่อนุญาตพิเศษ
หากนโยบายนี้ไม่ได้รับการตั้งค่า Google Chrome จะโหลดโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมทั้งหมดที่ติดตั้งไว้
ช่วยให้คุณสามารถระบุว่าโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมใดที่ไม่ควรอยู่ภายใต้บัญชีดำ
ค่า * ของบัญชีดำหมายถึงโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมทั้งหมดอยู่ในบัญชีดำ และจะโหลดเฉพาะโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมที่อยู่ในรายการที่อนุญาตพิเศษเท่านั้น
โดยค่าเริ่มต้น โฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมทั้งหมดจะอยู่ในรายการที่อนุญาตพิเศษ แต่หากโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมทั้งหมดอยู่ในบัญชีดำตามนโยบาย ก็สามารถใช้รายการที่อนุญาตพิเศษลบล้างนโยบายนั้นได้
เปิดใช้การติดตั้งระดับผู้ใช้ของโฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิม
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ Google Chrome จะอนุญาตให้ ใช้โฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมที่ติดตั้งในระดับผู้ใช้
หากปิดใช้การตั้งค่านี้ Google Chrome จะใช้เฉพาะ โฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมที่ติดตั้งในระดับระบบเท่านั้น
หากไม่ได้ตั้งการตั้งค่านี้ Google Chrome จะอนุญาตให้ใช้โฮสต์การรับส่งข้อความดั้งเดิมระดับผู้ใช้
ปิดใช้การซิงค์ Google ไดรฟ์ในแอป Files ของ Google Chrome OS เมื่อตั้งค่าเป็น True ในกรณีดังกล่าวจะไม่มีการอัปโหลดข้อมูลไปยัง Google ไดรฟ์
หากไม่มีการตั้งค่าหรือตั้งค่าเป็น False ผู้ใช้จะสามารถโอนไฟล์ไปยัง Google ไดรฟ์
เมื่อตั้งค่าเป็น True จะปิดใช้การซิงค์ Google ไดรฟ์ในแอป Files ของ Google Chrome OS เมื่อใช้การเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ ในกรณีดังกล่าว ข้อมูลจะซิงค์กับ Google ไดรฟ์เมื่อเชื่อมต่อผ่าน Wi-Fi หรืออินเทอร์เน็ตเท่านั้น
หากไม่มีการตั้งค่าหรือตั้งค่าเป็น False ผู้ใช้จะสามารถโอนไฟล์ไปยัง Google ไดรฟ์ผ่านการเชื่อมต่อเครือข่ายมือถือ
นโยบายนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนอีกต่อไป เปิดใช้งานการใช้ STUN และเซิร์ฟเวอร์ถ่ายทอดเมื่อเชื่อมต่อกับไคลเอ็นต์ระยะไกล หากการตั้งค่านี้ถูกเปิดใช้งาน เครื่องนี้จะสามารถค้นพบและเชื่อมต่อกับเครื่องโฮสต์ระยะไกลแม้ว่าจะถูกกั้นโดยไฟร์วอลล์ หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งานและการเชื่อมต่อ UDP ขาออกถูกกรองโดยไฟร์วอลล์ เครื่องนี้จะสามารถเชื่อมต่อไปยังเครื่องโฮสต์ภายในเครือข่ายท้องถิ่นเท่านั้น
เปิดใช้เซิร์ฟเวอร์ STUN เมื่อไคลเอ็นต์ระยะไกลพยายามสร้างการเชื่อมต่อกับเครื่องนี้
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ ไคลเอ็นต์ระยะไกลจะสามารถค้นพบและเชื่อมต่อกับเครื่องนี้แม้ว่าจะถูกกั้นโดยไฟร์วอลล์
หากปิดใช้การตั้งค่านี้และไฟร์วอลล์กรองการเชื่อมต่อ UDP ขาออก เครื่องนี้จะอนุญาตการเชื่อมต่อจากเครื่องไคลเอ็นต์ภายใน LAN เท่านั้น
หากไม่กำหนดค่านโยบายนี้ จะมีการเปิดใช้การตั้งค่า
กำหนดค่าชื่อโดเมนของโฮสต์ที่จำเป็นซึ่งจะถูกกำหนดให้กับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลและป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ทำการเปลี่ยนแปลง
หากการตั้งค่านี้เปิดใช้งานอยู่ จะสามารถแชร์โฮสต์ได้โดยใช้บัญชีที่ลงทะเบียนในชื่อโดเมนที่ระบุเท่านั้น
หากการตั้งค่านี้ปิดใช้งานอยู่หรือไม่ได้ตั้งค่า จะไม่สามารถแชร์โฮสต์โดยใช้บัญชีใดๆ ได้เลย
เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัยสำหรับโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลแทนการใช้ PIN ที่ระบุโดยผู้ใช้
หากการตั้งค่านี้เปิดใช้งานอยู่ ผู้ใช้จะต้องระบุรหัสแบบสองปัจจัยที่ถูกต้องเมื่อเข้าถึงโฮสต์
หากการตั้งค่านี้ปิดใช้งานอยู่หรือไม่ได้ตั้งค่า จะไม่สามารถใช้สองปัจจัยดังกล่าวได้และจะมีการใช้ค่าเริ่มต้นซึ่งเป็นการใช้ PIN ที่ระบุโดยผู้ใช้แทน
กำหนดค่าส่วนนำหน้าของ TalkGadget ที่จะถูกใช้โดยโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลและป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ทำการเปลี่ยนแปลง
หากมีการระบุไว้ ส่วนนำหน้านี้จะถูกนำมาวางไว้ข้างหน้าชื่อ TalkGadget ที่เป็นส่วนหลักเพื่อสร้างชื่อโดเมนเต็มสำหรับ TalkGadget ชื่อโดเมน TalkGadget ที่เป็นส่วนหลักนี้คือ '.talkgadget.google.com'
หากการตั้งค่านี้เปิดใช้งานอยู่ โฮสต์จะใช้ชื่อโดเมนที่กำหนดเองเมื่อเข้าถึง TalkGadget แทนการใช้ชื่อโดเมนค่าเริ่มต้น
หากการตั้งค่านี้ปิดใช้งานอยู่หรือไม่ได้ตั้งค่า ชื่อโดเมน TalkGadget ที่เป็นค่าเริ่มต้น ('chromoting-host.talkgadget.google.com') จะถูกใช้สำหรับโฮสต์ทั้งหมด
ไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกลจะไม่ได้รับผลกระทบจากการตั้งค่านโยบายนี้ โดยจะใช้ 'chromoting-client.talkgadget.google.com' เพื่อเข้าถึง TalkGadget เสมอ
เปิดใช้งานการปิดม่านโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลในขณะอยู่ระหว่างการเชื่อมต่อ
หากเปิดใช้งานการตั้งค่านี้อยู่ ตัวอุปกรณ์อินพุตและเอาต์พุตของโฮสต์จะถูกปิดการใช้งานในขณะอยู่ระหว่างการเชื่อมต่อระยะไกล
หากปิดการใช้งานการตั้งค่านี้อยู่หรือไม่ได้ตั้งค่าเอาไว้ ทั้งผู้ใช้ในท้องถิ่นและผู้ใช้จากระยะไกลจะสามารถโต้ตอบกับโฮสต์ได้เมื่อโฮสต์ถูกใช้งานร่วมกัน
หากการตั้งค่านี้เปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะจับคู่ลูกค้าและโฮสต์ในเวลาเชื่อมต่อ โดยไม่จำเป็นต้องป้อน PIN ทุกครั้ง
หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งาน คุณลักษณะนี้จะไม่สามารถใช้ได้
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ คำขอตรวจสอบสิทธิ์ Gnubby จะส่งผ่านพร็อกซีโดยใช้การเชื่อมต่อโฮสต์ระยะไกล
หากปิดใช้การตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่า คำขอตรวจสอบสิทธิ์ Gnubby จะไม่ส่งผ่านพร็อกซี
เปิดใช้รีเลย์เซิร์ฟเวอร์เมื่อไคลเอ็นต์ระยะไกลพยายามสร้างการเชื่อมต่อกับเครื่องนี้
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ ไคลเอ็นต์ระยะไกลสามารถใช้รีเลย์เซิร์ฟเวอร์เพื่อเชื่อมต่อกับเครื่องนี้เมื่อไม่สามารถทำการเชื่อมต่อโดยตรง (เช่น เนื่องจากข้อจำกัดด้านไฟร์วอลล์)
โปรดทราบว่าหากปิดใช้นโยบาย RemoteAccessHostFirewallTraversal ระบบจะเพิกเฉยต่อนโยบายนี้
หากไม่กำหนดค่านโยบายนี้ จะมีการเปิดใช้การตั้งค่า
จำกัดช่วงพอร์ต UDP ที่ใช้โดยโฮสต์การเข้าถึงระยะไกลในเครื่องนี้
หากไม่กำหนดนโยบายหรือกำหนดค่าเป็นสตริงว่าง โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะได้รับอนุญาตให้ใช้พอร์ตใดก็ได้ที่ว่างอยู่ เว้นแต่ว่าจะมีการปิดใช้นโยบาย RemoteAccessHostFirewallTraversal ซึ่งในกรณีดังกล่าว โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะใช้พอร์ต UDP ในช่วง 12400-12409
ชื่อของผู้ใช้ท้องถิ่นและเจ้าของโฮสต์การเช้าถึงระยะไกลจำเป็นต้องตรงกัน
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะเปรียบเทียบชื่อของผู้ใช้ท้องถิ่น (ที่เชื่อมโยงกับโฮสต์) กับชื่อบัญชี Google ที่ลงทะเบียนเป็นเจ้าของโฮสต์ (เช่น "johndoe" หากเจ้าของโฮสต์คือบัญชี Google "johndoe@example.com") โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะไม่เริ่มหากชื่อของเจ้าของโฮสต์แตกต่างจากชื่อผู้ใช้ท้องถิ่นที่เชื่อมโยงกับโฮสต์ ควรใช้นโยบาย RemoteAccessHostMatchUsername ร่วมกับ RemoteAccessHostDomain เพื่อยืนยันให้บัญชี Google ของเจ้าของโฮสต์เชื่อมโยงกับโดเมนที่เจาะจง (กล่าวคือ "example.com")
หากการตั้งค่านี้ปิดใช้หรือไม่ได้ตั้งค่า โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะสามารถเชื่อมโยงกับผู้ใช้ท้องถิ่นรายใดก็ได้
URL ที่ไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกลควรรับโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์
หากมีการตั้งนโยบายนี้ โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะต้องมีการตรวจสอบสิทธิ์ไคลเอ็นต์เพื่อรับโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์จาก URL นี้จึงจะเชื่อมต่อได้ และต้องใช้ร่วมกับ RemoteAccessHostTokenValidationUrl
ขณะนี้คุณลักษณะนี้ปิดใช้ฝั่งเซิร์ฟเวอร์
URL สำหรับตรวจสอบความถูกต้องของโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์ไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกล
หากมีการตั้งค่านโยบายนี้ โฮสต์การเข้าถึงระยะไกลจะใช้ URL นี้ในการตรวจสอบโทเค็นการตรวจสอบสิทธิ์จากไคลเอ็นต์การเข้าถึงระยะไกลเพื่อยอมรับการเชื่อมต่อ ต้องใช้ร่วมกับ RemoteAccessHostTokenUrl
ขณะนี้คุณลักษณะนี้ปิดใช้ฝั่งเซิร์ฟเวอร์
ใบรับรองไคลเอ็นต์สำหรับการเชื่อมต่อกับ RemoteAccessHostTokenValidationUrl
หากตั้งค่านโยบายนี้ โฮสต์จะใช้ใบรับรองไคลเอ็นต์ที่มีผู้ออกใบรับรอง CN ที่กำหนดเพื่อตรวจสอบสิทธิ์ RemoteAccessHostTokenValidationUrl ตั้งค่าเป็น "*" เพื่อใช้ใบรับรองไคลเอ็นต์ทั้งหมดที่สามารถใช้งานได้
คุณลักษณะนี้ปิดใช้งานบนฝั่งเซิร์ฟเวอร์อยู่ในขณะนี้
ลบล้างนโยบายในเวอร์ชันการแก้ปัญหาของโฮสต์การเข้าถึงระยะไกล
ค่านี้จะได้รับการแยกวิเคราะห์เป็นพจนานุกรม JSON ของชื่อนโยบายไปยังการจับคู่ค่านโยบาย
หากเปิดการตั้งค่านี้ ผู้ใช้สามารถกำหนดให้ Google Chrome จดจำรหัสผ่าน แล้วแสดงรหัสผ่านโดยอัตโนมัติในครั้งถัดไปที่ลงชื่อเข้าสู่ระบบเว็บไซต์
หากปิดการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถบันทึกรหัสผ่านใหม่ได้ แต่ ยังคงใช้รหัสผ่านที่บันทึกไว้ก่อนหน้านี้ได้
หากเปิดหรือปิดนโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้าง ข้อมูลดังกล่าวใน Google Chrome ได้ หากยกเลิก การตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะยังสามารถบันทึกรหัสผ่าน (แต่ผู้ใช้สามารถปิดใช้งานได้)
ควบคุมว่าผู้ใช้จะสามารถแสดงรหัสผ่านเป็นข้อความที่ชัดเจนในตัวจัดการรหัสผ่านหรือไม่ หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ตัวจัดการรหัสผ่านจะไม่อนุญาตให้แสดงรหัสผ่านที่เก็บไว้เป็นข้อความที่ชัดเจนในหน้าต่างตัวจัดการรหัสผ่าน หากคุณเปิดใช้งานหรือไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถดูรหัสผ่านของตนเป็นข้อความที่ชัดเจนในตัวจัดการรหัสผ่านได้
ระบุว่าการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP รูปแบบใดที่ Google Chrome สนับสนุน
ค่าที่เป็นไปได้คือ "basic", "digest", "ntlm" และ "negotiate" แยกค่าหลายค่าด้วยเครื่องหมายจุลภาค
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ จะมีการใช้ทั้ง 4 รูปแบบ
กำหนดว่า Kerberos SPN ที่สร้างจะอยู่บนพื้นฐานของชื่อ DNS มาตรฐานหรือชื่อเดิมที่ป้อนไว้ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ การค้นหา CNAME จะถูกข้ามไปและจะใช้ชื่อเซิร์ฟเวอร์ตามที่ป้อน หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้หรือปล่อยไว้ไม่ได้ตั้งค่า ชื่อมาตรฐานของเซิร์ฟเวอร์จะถูกกำหนดโดยผ่านการค้นหา CNAME
ระบุว่า Kerberos SPN ที่สร้างขึ้นควรจะรวมพอร์ตที่ไม่ใช่แบบมาตรฐานไว้หรือไม่ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้และป้อนพอร์ตที่ไม่ใช่แบบมาตรฐาน (เช่น พอร์ตอื่นๆ นอกจาก 80 หรือ 443) เข้าไป พอร์ตดังกล่าวจะถูกรวมไว้ใน Kerberos SPN ที่สร้างขึ้น หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้หรือปล่อยให้ไม่มีการตั้งค่า Kerberos SPN ที่สร้างขึ้นจะไม่รวมพอร์ตไม่ว่าในกรณีใดๆ
ระบุว่าเซิร์ฟเวอร์ใดควรอยู่ในรายการที่อนุญาตสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์แบบผนวกรวม โดยจะมีการเปิดใช้การตรวจสอบสิทธิ์แบบผนวกรวมต่อเมื่อ Google Chrome ได้รับการขอตรวจสอบสิทธิ์จากพร็อกซีหรือจากเซิร์ฟเวอร์ซึ่งอยู่ในรายการที่อนุญาตนี้เท่านั้น
คั่นชื่อเซิร์ฟเวอร์หลายชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค อนุญาตให้ใช้อักขระตัวแทน (*)
หากคุณปล่อยนโยบายนี้ไว้โดยไม่มีการตั้งค่า Google Chrome จะพยายามตรวจหาว่าเซิร์ฟเวอร์อยู่บนอินทราเน็ตไหม และจะตอบรับคำขอ IWA หลังจากนั้นเท่านั้น หากมีการตรวจพบว่าเซิร์ฟเวอร์เป็นอินเทอร์เน็ต Google Chrome จะเพิกเฉยต่อคำขอ IWA
เซิร์ฟเวอร์ที่ Google Chrome อาจมอบสิทธิ์ให้
คั่นชื่อเซิร์ฟเวอร์หลายชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค อนุญาตให้ใช้อักขระตัวแทน (*)
หากคุณปล่อยนโยบายนี้ไว้โดยไม่มีการตั้งค่า Google Chrome จะไม่มอบสิทธิ์ข้อมูลรับรองผู้ใช้ แม้จะตรวจพบว่าเซิร์ฟเวอร์เป็นอินทราเน็ตก็ตาม
ระบุไลบรารี GSSAPI ที่จะใช้สำหรับการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP คุณสามารถกำหนดเฉพาะชื่อไลบรารีหรือเส้นทางแบบเต็ม
หากคุณไม่ได้ตั้งค่า Google Chrome จะกลับไปใช้ชื่อไลบรารีเริ่มต้น
ระบุประเภทบัญชีของบัญชีที่มาจากแอปการตรวจสอบสิทธิ์ของ Android ที่สนับสนุนการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP Negotiate (เช่น การตรวจสอบสิทธิ์ Kerberos) โดยผู้จัดหาแอปการตรวจสอบสิทธิ์ควรจัดเตรียมข้อมูลนี้ไว้ให้ โปรดดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://goo.gl/hajyfN
หากไม่ได้ตั้งค่าไว้ ระบบจะปิดการตรวจสอบสิทธิ์ HTTP Negotiate บน Android
ควบคุมว่าจะให้เนื้อหาย่อยของบุคคลที่สามบนหน้าเว็บได้รับอนุญาตให้ป๊อปอัปช่องโต้ตอบการตรวจสอบสิทธิ์พื้นฐาน HTTP หรือไม่ ซึ่งโดยปกติจะถูกปิดใช้งานเพื่อป้องกันฟิชชิง หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะถูกปิดใช้งานและเนื้อหาย่อยของบุคคลที่สามจะไม่ได้รับอนุญาตให้ป๊อปอัปช่องโต้ตอบการตรวจสอบสิทธิ์พื้นฐาน HTTP
เปิดใช้ผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ การค้นหาเริ่มต้นจะทำงานเมื่อผู้ใช้พิมพ์ข้อความที่ไม่ใช่ URL ลงในแถบอเนกประสงค์
คุณสามารถระบุผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้นที่จะใช้งานได้โดยตั้งค่าส่วนที่เหลือของนโยบายการค้นหาเริ่มต้น หากเว้นว่างไว้ ผู้ใช้จะสามารถเลือกผู้ให้บริการเริ่มต้นได้
หากปิดใช้การตั้งค่านี้ ระบบจะไม่ดำเนินการค้นหาเมื่อผู้ใช้พิมพ์ข้อความที่ไม่ใช่ URL ลงในแถบอเนกประสงค์
หากเปิดหรือปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะเปิดใช้ผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น ผู้ใช้จะสามารถตั้งค่ารายชื่อผู้ให้บริการการค้นหา
นโยบายนี้ไม่สามารถใช้กับอินสแตนซ์ของ Windows ที่ไม่เข้าร่วม โดเมน Active Directory
ระบุชื่อของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น หากปล่อยว่างหรือไม่ได้กำหนดไว้ จะใช้ชื่อโฮสต์ที่ระบุไว้โดย URL ค้นหา นโยบายนี้จะใช้เฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
กำหนดคำหลักซึ่งเป็นทางลัดที่ใช้ในแถบอเนกประสงค์เพื่อเริ่มการค้นหาสำหรับผู้ให้บริการนี้ นโยบายนี้จะเป็นทางเลือก หากไม่ได้ตั้งค่าไว้ คำหลักจะไม่สั่งการผู้ให้บริการการค้นหา นโยบายนี้จะใช้เฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
ระบุ URL ของเครื่องมือค้นหาที่ใช้เมื่อดำเนินการค้นหาแบบค่าเริ่มต้น URL ควรจะมีสตริง "{searchTerms}" ซึ่งจะถูกแทนที่โดยคำที่ผู้ใช้กำลังค้นหาเมื่อเวลาที่ค้นหา นโยบายนี้จะต้องมีการตั้งค่าเมื่อมีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" และจะมีการใช้งานเฉพาะในกรณีนี้เท่านั้น
ระบุ URL ของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ในการให้คำแนะนำการค้นหา URL ควรจะมีสตริง "{searchTerms}" ซึ่งจะถูกแทนที่เมื่อเวลาที่ค้นหาโดยข้อความที่ผู้ใช้ป้อน นโยบายนี้เป็นทางเลือก หากไม่ตั้งค่าไว้ จะไม่มีการใช้ URL ที่แนะนำ นโยบายนี้มีการใช้งานเฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
ระบุ URL ของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ในการให้ผลการค้นหาแบบทันใจ URL ควรจะมีสตริง '{searchTerms}' ซึ่งจะถูกแทนที่โดยข้อความที่ผู้ใช้ป้อนเมื่อเวลาที่ค้นหา นโยบายนี้เป็นทางเลือก หากไม่ตั้งค่าไว้ จะไม่มีการให้ผลการค้นหาแบบทันใจ นโยบายนี้มีการใช้งานเฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
ระบุ URL ไอคอนที่ชื่นชอบของผู้ให้บริการการค้นหาเริ่มต้น นโยบายนี้เป็นทางเลือก หากไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีการแสดงไอคอนสำหรับผู้ให้บริการการค้นหา นโยบายนี้จะใช้เฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
กำหนดการเข้ารหัสตัวอักษรที่สนับสนุนโดยผู้ให้บริการการค้นหา การเข้ารหัสหมายถึงชื่อหน้ารหัสอย่างเช่น UTF-8, GB2312 และ ISO-8859-1 โดยมีการนำมาใช้ตามลำดับที่ให้มา นโยบายนี้เป็นทางเลือก หากไม่ตั้งค่าไว้ จะมีการใช้ค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ UTF-8 นโยบายนี้จะใช้เฉพาะในกรณีที่มีการเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
ระบุรายการ URL สำรองที่สามารถใช้ในการดึงข้อความค้นหาจากเครื่องมือค้นหา URL ควรมีสตริง '{searchTerms}' ซึ่งจะใช้ในการดึงข้อความค้นหา
นโยบายนี้เป็นทางเลือก หากไม่มีการตั้งค่า จะไม่มีการใช้ URL สำรองใดๆ ในการดึงข้อความค้นหา
นโยบายนี้จะสามารถใช้ได้เฉพาะเมื่อเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" เท่านั้น
หากนโยบายนี้ถูกตั้งค่าไว้และ URL ค้นหาที่แถบอเนกประสงค์แนะนำมีพารามิเตอร์นี้ในสตริงข้อความค้นหาหรือในตัวระบุชิ้นส่วน คำแนะนำจะแสดงคำค้นหาและผู้ให้บริการค้นหาแทน URL ค้นหาดิบ
นโยบายนี้ไม่บังคับ หากไม่ตั้งค่านโยบาย จะไม่มีการแทนที่คำค้นหา
นโยบายนี้มีผลต่อเมื่อเปิดใช้งานนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled"
ระบุ URL ของเครื่องมือค้นหาที่ใช้ในการให้การค้นหาภาพ คำขอค้นหาจะถูกส่งโดยใช้วิธีการ GET หากนโยบาย DefaultSearchProviderImageURLPostParams ถูกกำหนด คำขอค้นหาภาพจะใช้วิธีการ POST แทน
นโยบายนี้สามารถเลือกได้ หากไม่ได้ถูกกำหนด จะไม่มีการใช้คำขอค้นหาภาพใดๆ
นโยบายนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกรณีที่นโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" ถูกเปิดใช้
ระบุ URL ที่เครื่องมือค้นหาจะใช้เพื่อให้บริการหน้าแท็บใหม่
นโยบายนี้เป็นตัวเลือกที่ไม่บังคับ หากไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีหน้าแท็บใหม่ให้บริการ
นโยบายนี้จะมีผลใช้เฉพาะเมื่อนโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" ถูกเปิดใช้
ระบุพารามิเตอร์ที่ใช้เมื่อค้นหา URL ด้วย POST ซึ่งประกอบด้วยคู่ชื่อ/ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค หากค่าเป็นพารามิเตอร์เทมเพลต เช่น {searchTerms} ในตัวอย่างข้างต้น ค่าจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลข้อความค้นหาที่แท้จริง
นโยบายนี้สามารถเลือกได้ หากไม่ได้ถูกกำหนด คำขอค้นหาจะถูกส่งโดยใช้วิธีการ GET
นโยบายนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกรณีที่นโยบาย 'DefaultSearchProviderEnabled' ถูกเปิดใช้งาน
ระบุพารามิเตอร์ที่ใช้เมื่อทำการค้นหาตามคำแนะนำด้วย POST ซึ่งประกอบด้วยคู่ชื่อ/ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค หากค่าเป็นพารามิเตอร์เทมเพลต เช่น {searchTerms} ในตัวอย่างข้างต้น ค่าจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลข้อความค้นหาที่แท้จริง
นโยบายนี้สามารถเลือกได้ หากไม่ได้ถูกกำหนดไว้ คำขอการแนะนำการค้นหาจะถูกส่งโดยใช้วิธีการ GET
นโยบายนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกรณีที่นโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled 'ถูกเปิดใช้งาน
ระบุพารามิเตอร์ที่ใช้เมื่อทำการค้นหาทันใจด้วย POST. ซึ่งประกอบด้วยคู่ชื่อ/ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค หากค่าเป็นพารามิเตอร์เทมเพลต เช่น {searchTerms} ในตัวอย่างข้างต้น ค่าก็จะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลข้อความค้นหาที่แท้จริง
นโยบายนี้สามารถเลือกได้ หากไม่ได้ถูกกำหนด คำขอค้นหาทันใจจะถูกส่งโดยใช้วิธีการ GET
นโยบายนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกรณีที่นโยบาย 'DefaultSearchProviderEnabled' ถูกเปิดใช้งาน
ระบุพารามิเตอร์ที่ใช้เมื่อทำการค้นหาภาพด้วย POST ซึ่งประกอบด้วยคู่ชื่อ/ค่าที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค หากค่าเป็นพารามิเตอร์เทมเพลต เช่น {imageThumbnail} ในตัวอย่างข้างต้น ค่าจะถูกแทนที่ด้วยข้อมูลภาพขนาดย่อที่แท้จริง
นโยบายนี้สามารถเลือกได้ หากไม่ได้ถูกกำหนด คำขอค้นหาภาพจะถูกส่งโดยใช้วิธีการ GET
นโยบายนี้เป็นที่ยอมรับเฉพาะในกรณีที่นโยบาย "DefaultSearchProviderEnabled" ถูกเปิดใช้
ช่วยให้คุณระบุพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้โดย Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่าพร็อกซี หากคุณเลือกไม่ใช้พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์และเชื่อมต่อโดยตรงเสมอ ตัวเลือกอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกข้ามไป หากคุณเลือกใช้การตั้งค่าพร็อกซีของระบบหรือตรวจจับพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์อัตโนมัติ ตัวเลือกอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกข้ามไป หากคุณเลือกโหมดพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์แบบคงที่ คุณสามารถระบุตัวเลือกอื่นๆ ต่อไปได้ใน "ที่อยู่หรือ URL ของพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์" และ "รายการกฎการข้ามพร็อกซีที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค" หากคุณเลือกที่จะใช้สคริปต์พร็อกซี .pac คุณต้องระบุ URL ไปยังสคริปต์ดังกล่าวใน "URL ไปยังไฟล์ .pac ของพร็อกซี" สำหรับตัวอย่างโดยละเอียด โปรดไปที่: https://www.chromium.org/developers/design-documents/network-settings#TOC-Command-line-options-for-proxy-sett หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะข้ามตัวเลือกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพร็อกซีที่ระบุจากบรรทัดคำสั่ง การปล่อยให้นโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าพร็อกซีได้ด้วยตนเอง
นโยบายนี้ถูกกำหนดให้เลิกใช้ โดยจะใช้ ProxyMode แทน ช่วยให้คุณระบุพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้โดย Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่าพร็อกซี หากคุณเลือกไม่ใช้พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์และเชื่อมต่อโดยตรงเสมอ ตัวเลือกอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกข้ามไป หากคุณเลือกใช้การตั้งค่าพร็อกซีของระบบหรือตรวจจับพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์อัตโนมัติ ตัวเลือกอื่นๆ ทั้งหมดจะถูกข้ามไป หากคุณเลือกการตั้งค่าพร็อกซีด้วยตนเอง คุณสามารถระบุตัวเลือกอื่นๆ ต่อไปใน "ที่อยู่หรือ URL ของพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์", "URL ไปยังไฟล์ .pac ของพร็อกซี" และ "รายการกฎการข้ามพร็อกซีที่คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค" สำหรับตัวอย่างโดยละเอียด โปรดไปที่: https://www.chromium.org/developers/design-documents/network-settings#TOC-Command-line-options-for-proxy-sett หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะข้ามตัวเลือกทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับพร็อกซีที่ระบุจากบรรทัดคำสั่ง การปล่อยให้นโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกการตั้งค่าพร็อกซีได้ด้วยตนเอง
คุณสามารถระบุ URL ของพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์ได้ที่นี่ นโยบายนี้จะมีผลหากคุณเลือกการตั้งค่าพร็อกซีด้วยตนเองที่ "เลือกวิธีระบุการตั้งค่าพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์" เท่านั้น คุณควรปล่อยให้นโยบายไม่มีการตั้งค่าหากคุณได้เลือกโหมดอื่นใดสำหรับตั้งค่านโยบายพร็อกซี สำหรับตัวเลือกเพิ่มเติมและตัวอย่างโดยละเอียด โปรดไปที่: https://www.chromium.org/developers/design-documents/network-settings#TOC-Command-line-options-for-proxy-sett
คุณสามารถระบุ URL ไปยังไฟล์ .pac พร็อกซีได้ที่นี่ นโยบายนี้จะมีผลในกรณีที่คุณเลือกการตั้งค่าพร็อกซีด้วยตนเองที่ "เลือกวิธีการระบุการตั้งค่าพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์" เท่านั้น คุณควรปล่อยให้นโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่าหากคุณได้เลือกโหมดอื่นใดแล้วสำหรับการตั้งค่านโยบายพร็อกซี สำหรับตัวอย่างโดยละเอียด โปรดไปที่: https://www.chromium.org/developers/design-documents/network-settings#TOC-Command-line-options-for-proxy-sett
Google Chrome จะข้ามพร็อกซีสำหรับรายการของโฮสต์ที่ให้ไว้ในที่นี้ นโยบายนี้จะมีผลในกรณีที่คุณเลือกการตั้งค่าพร็อกซีด้วยตนเองที่ "เลือกวิธีการระบุการตั้งค่าพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์" เท่านั้น คุณควรปล่อยให้นโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าหากคุณได้เลือกโหมดอื่นใดแล้วสำหรับการตั้งค่านโยบายพร็อกซี สำหรับตัวอย่างโดยละเอียดเพิ่มเติม โปรดไปที่: https://www.chromium.org/developers/design-documents/network-settings#TOC-Command-line-options-for-proxy-sett
ช่วยให้คุณสามารถระบุส่วนขยายที่ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง ส่วนขยายที่ติดตั้งไว้แล้วจะถูกลบหากอยู่ในรายการที่ไม่อนุญาต ค่ารายการที่ไม่อนุญาต "*" หมายถึงส่วนขยายทั้งหมดอยู่ในรายการที่ไม่อนุญาตนอกจากว่าจะได้รับการระบุไว้อย่างชัดเจนในรายการที่อนุญาต หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถติดตั้งส่วนขยายใดก็ได้ใน Google Chrome
ช่วยให้คุณระบุได้ว่าส่วนขยายใดที่ไม่ขึ้นอยู่กับรายการที่ไม่อนุญาต ค่ารายการที่ไม่อนุญาต * แสดงว่าส่วนขยายทั้งหมดจัดอยู่ในรายการที่ไม่อนุญาต และผู้ใช้สามารถติดตั้งได้เฉพาะส่วนขยายที่อยู่ในรายการที่อนุญาต ตามค่าเริ่มต้น ส่วนขยายทั้งหมดจะอยู่ในรายการที่อนุญาต แต่หากส่วนขยายทั้งหมดถูกจัดอยู่ในรายการที่ไม่อนุญาตตามนโยบาย คุณสามารถใช้รายการที่อนุญาตเพื่อแทนที่นโยบายดังกล่าวได้
Specifies a list of apps and extensions that are installed silently, without user interaction, and which cannot be uninstalled by the user. All permissions requested by the apps/extensions are granted implicitly, without user interaction, including any additional permissions requested by future versions of the app/extension. Furthermore, permissions are granted for the enterprise.deviceAttributes and enterprise.platformKeys extension APIs. (These two APIs are not available to apps/extensions that are not force-installed.)
This policy takes precedence over a potentially conflicting ExtensionsInstallBlacklist policy. If an app or extension that previously had been force-installed is removed from this list, it is automatically uninstalled by Google Chrome.
For Windows instances that are not joined to an Active Directory domain, forced installation is limited to apps and extensions listed in the Chrome Web Store.
Note that the source code of any extension may be altered by users via Developer Tools (potentially rendering the extension dysfunctional). If this is a concern, the DeveloperToolsDisabled policy should be set.
Each list item of the policy is a string that contains an extension ID and an "update" URL separated by a semicolon (;). The extension ID is the 32-letter string found e.g. on chrome://extensions when in developer mode. The "update" URL should point to an Update Manifest XML document as described at https://developer.chrome.com/extensions/autoupdate. Note that the "update" URL set in this policy is only used for the initial installation; subsequent updates of the extension employ the update URL indicated in the extension's manifest.
For example, gbchcmhmhahfdphkhkmpfmihenigjmpp;https://clients2.google.com/service/update2/crx installs the Chrome Remote Desktop app from the standard Chrome Web Store "update" URL. For more information about hosting extensions, see: https://developer.chrome.com/extensions/hosting.
If this policy is left not set, no apps or extensions are installed automatically and the user can uninstall any app or extension in Google Chrome.
ให้คุณระบุว่าจะอนุญาตให้ URL ใดติดตั้งส่วนขยาย แอป และธีมได้บ้าง
นับตั้งแต่ Google Chrome 21 การติดตั้งส่วนขยาย แอป และสคริปต์ของผู้ใช้จากภายนอก Chrome เว็บสโตร์เป็นเรื่องที่ยากขึ้น ก่อนหน้านี้ ผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อไปยังไฟล์ *.crx จากนั้น Google Chrome จะเสนอให้ติดตั้งไฟล์หลังจากแสดงคำเตือนสองสามรายการ แต่หลังจาก Google Chrome 21 เป็นต้นมา จะต้องมีการดาวน์โหลดไฟล์ดังกล่าวและลากไปยังหน้าการตั้งค่าของ Google Chrome การตั้งค่านี้อนุญาตให้บาง URL สามารถมีขั้นตอนการติดตั้งแบบเก่าแต่ใช้งานง่ายได้
แต่ละรายการในรายการนี้เป็นรูปแบบการจับคู่สไตล์ส่วนขยาย (ดู https://developer.chrome.com/extensions/match_patterns) ผู้ใช้จะสามารถติดตั้งรายการต่างๆ ได้โดยง่ายจาก URL ใดๆ ที่ตรงกับรายการในรายการนี้ ทั้งตำแหน่งของไฟล์ *.crx และหน้าเว็บที่เริ่มการดาวน์โหลด (เช่น ผู้อ้างอิง) จะต้องได้รับอนุญาตโดยรูปแบบเหล่านี้
ExtensionInstallBlacklist จะมีความสำคัญเหนือนโยบายนี้ ซึ่งหมายความว่า ส่วนขยายในบัญชีดำจะไม่ถูกติดตั้ง แม้ว่าจะปรากฏอยู่ในไซต์ในรายการนี้ก็ตาม
ควบคุมประเภทแอป/ส่วนขยายที่สามารถติดตั้งได้
การตั้งค่านี้ระบุรายการประเภทของส่วนขยาย/แอปที่สามารถติดตั้งใน Google Chrome ได้ แต่ละค่าในรายการควรเป็นหนึ่งในค่าต่อไปนี้ "extension", "theme", "user_script", "hosted_app", "legacy_packaged_app", "platform_app" ดูเอกสารเกี่ยวกับส่วนขยายของ Google Chrome สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเภทเหล่านี้
โปรดทราบว่านโยบายนี้มีผลกับส่วนขยายและแอปที่บังคับติดตั้งผ่าน ExtensionInstallForcelist ด้วย
หากมีการกำหนดการตั้งค่านี้ ส่วนขยาย/แอปซึ่งเป็นประเภทที่ไม่ได้อยู่ในรายการจะไม่ได้รับการติดตั้ง
หากไม่ได้กำหนดการตั้งค่านี้ จะไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับประเภทของส่วนขยาย/แอปที่ยอมรับ
อนุญาตให้ระบุลักษณะการทำงานเมื่อเริ่มต้นระบบ
หากคุณเลือก "เปิดหน้าแท็บใหม่" หน้าแท็บใหม่จะเปิดขึ้นทุกครั้งที่คุณเริ่มต้น Google Chrome
หากคุณเลือก "คืนค่าเซสชันล่าสุด" URL ที่เปิดไว้เมื่อปิด Google Chrome ครั้งสุดท้ายจะเปิดขึ้นอีกครั้ง และระบบจะคืนค่าเซสชันการท่องเว็บให้เหมือนที่เคยเปิดไว้ การเลือกตัวเลือกนี้จะปิดใช้การตั้งค่าบางอย่างที่ใช้เซสชันหรือที่ทำงานต่างๆ เมื่อออก (เช่น ล้างข้อมูลการท่องเว็บเมื่อออกหรือล้างคุกกี้ที่เก็บเฉพาะในเซสชัน)
หากคุณเลือก "เปิดรายการ URL" รายการ "URL ที่จะเปิดเมื่อเริ่มต้นระบบ" จะเปิดขึ้นมาเมื่อผู้ใช้เริ่มต้น Google Chrome
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่านี้ใน Google Chrome
การปิดใช้การตั้งค่านี้มีค่าเท่ากับการไม่กำหนดค่าใดๆ ผู้ใช้ยังคงสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ใน Google Chrome
นโยบายนี้ไม่สามารถใช้ได้กับอินสแตนซ์ของ Windows ที่ไม่เข้าร่วม โดเมน Active Directory
หากเลือก "เปิดรายการ URL" ให้เป็นการทำงานเมื่อเริ่มต้นระบบ ระบบจะอนุญาตให้คุณระบุรายการ URL ที่จะเปิดขึ้นมา หากไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีการเปิด URL เมื่อเริ่มต้นระบบ
นโยบายนี้จะทำงานเมื่อตั้งค่านโยบาย "RestoreOnStartup" เป็น "RestoreOnStartupIsURLs" เท่านั้น
นโยบายนี้ไม่สามารถใช้งานกับอินสแตนซ์ของ Windows ที่ไม่เข้าร่วม โดเมน Active Directory
กำหนดค่า URL หน้าแรกเริ่มต้นใน Google Chrome เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลง URL ดังกล่าว
หน้าแรกคือหน้าที่เปิดด้วยปุ่ม "หน้าแรก" หน้าต่างๆ ที่เปิดขึ้นเมื่อเริ่มต้นจะควบคุมด้วยนโยบาย RestoreOnStartup
คุณสามารถตั้งค่าหน้าแรกเป็น URL ตามที่ระบุไว้ที่นี่หรือตั้งค่าเป็น "หน้าแท็บใหม่" ก็ได้ หากเลือกเป็น "หน้าแท็บใหม่" นโยบายนี้จะไม่มีผล
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง URL หน้าแรกใน Google Chrome แต่ยังสามารถเลือก "หน้าแท็บใหม่" เป็นหน้าแรกได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถเลือกหน้าแรกได้เอง แต่ต้องไม่มีการตั้งค่า HomepageIsNewTabPage ด้วย
นโยบายนี้ไม่พร้อมใช้งานบนอินสแตนซ์ของ Windows ที่ไม่ได้เข้าร่วม โดเมน Active Directory
กำหนดประเภทของหน้าแรกเริ่มต้นใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงค่ากำหนดหน้าแรก หน้าแรกสามารถตั้งค่าให้เป็น URL ที่คุณระบุหรือตั้งค่าเป็นหน้าแท็บใหม่ก็ได้
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ จะมีการใช้หน้าแท็บใหม่เป็นหน้าแรกเสมอ และระบบจะไม่สนใจตำแหน่ง URL ของหน้าแรก
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้ หน้าแรกของผู้ใช้จะไม่เป็นหน้าแท็บใหม่ นอกจากว่า URL ของหน้าจะได้รับการตั้งค่าเป็น "chrome://newtab"
หากคุณเปิดหรือปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนประเภทของหน้าแรกได้ใน Google Chrome
การปล่อยให้นโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะให้หน้าแท็บใหม่เป็นหน้าแรกของตนหรือไม่
นโยบายนี้ไม่พร้อมใช้งานในอินสแตนซ์ Windows ที่ไม่ได้ เข้าร่วมโดเมน Active Directory
อนุญาตให้ Google Chrome Frame จัดการประเภทของเนื้อหาที่ระบุไว้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะใช้การแสดงผลเริ่มต้นสำหรับไซต์ทั้งหมด ดังที่ระบุไว้ตามนโยบาย "ChromeFrameRendererSettings"
ช่วยให้คุณสามารถกำหนดค่าตัวแสดงผล HTML เริ่มต้นเมื่อทำการติดตั้ง Google Chrome Frame การตั้งค่าเริ่มต้นที่ใช้เมื่อไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้คือการอนุญาตให้เบราว์เซอร์ของโฮสต์ทำการแสดงผล แต่คุณสามารถเลือกที่จะแทนที่การตั้งค่านี้และทำให้ Google Chrome Frame แสดงหน้า HTML โดยค่าเริ่มต้น
กำหนดรายการรูปแบบ URL ที่ควรแสดงผลโดย Google Chrome Frame ทุกครั้ง
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ตัวแสดงผลเริ่มต้นกับเว็บไซต์ทั้งหมดตามที่ได้กำหนดไว้ในนโยบาย "ChromeFrameRendererSettings"
สำหรับรูปแบบตัวอย่าง โปรดดูที่ https://www.chromium.org/developers/how-tos/chrome-frame-getting-started
กำหนดค่ารายการรูปแบบ URL ที่ควรแสดงผลด้วยเบราว์เซอร์โฮสต์ทุกครั้ง
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ตัวแสดงผลเริ่มต้นกับเว็บไซต์ทั้งหมดตามที่ได้ระบุไว้โดยนโยบาย "ChromeFrameRendererSettings"
สำหรับรูปแบบตัวอย่าง โปรดดูที่ https://www.chromium.org/developers/how-tos/chrome-frame-getting-started
ช่วยให้คุณสามารถกำหนดพารามิเตอร์เพิ่มเติมที่จะนำมาใช้เมื่อ Google Chrome Frame เปิดใช้งาน Google Chrome
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้เอาไว้ คำสั่งที่เป็นค่าเริ่มต้นจะถูกนำมาใช้
ตามปกติหน้าที่มีการตั้งค่า X-UA-Compatible เป็น Chrome=1 จะได้รับการแสดงผลใน Google Chrome Frame ไม่ว่านโยบาย "ChromeFrameRendererSettings" จะเป็นเช่นไร
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ หน้าจะไม่ได้รับการสแกนหาเมตาแท็ก
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้ หน้าจะได้รับการสแกนหาเมตาแท็ก
หากนโยบายนี้ไม่ได้รับการตั้งค่า หน้าจะได้รับการสแกนหาเมตาแท็ก
อนุญาตให้ผู้ใช้เล่นเกมไดโนเสาร์ที่ซ่อนไว้ขณะที่อุปกรณ์ออฟไลน์ได้
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False ผู้ใช้จะไม่สามารถเล่นเกมไดโนเสาร์ที่ซ่อนไว้ขณะที่อุปกรณ์ออฟไลน์ แต่หากตั้งค่าเป็น True ผู้ใช้จะสามารถเล่นเกมไดโนเสาร์ได้ หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย ผู้ใช้จะไม่สามารถเล่นเกมไดโนเสาร์ที่ซ่อนไว้บน Chrome OS ที่ลงทะเบียนไว้ แต่จะสามารถเล่นเกมนี้ในกรณีอื่นๆ ได้
อนุญาตให้เข้าถึงไฟล์ในเครื่องโดยการอนุญาตให้ Google Chrome แสดงช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะเปิดช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ได้ตามปกติ หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใช้ดำเนินการที่อาจกระตุ้นให้ช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ปรากฏขึ้น (เช่น การนำเข้าบุ๊กมาร์ก การอัปโหลดไฟล์ การบันทึกลิงก์ ฯลฯ) ข้อความจะปรากฏขึ้นแทนโดยถือว่าผู้ใช้ได้คลิก "ยกเลิก" ในช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ไว้ หากไม่ได้ตั้งค่านี้ ผู้ใช้สามารถเปิดช่องโต้ตอบสำหรับการเลือกไฟล์ได้ตามปกติ
อนุญาตให้ Google Chrome เรียกใช้ปลั๊กอินที่เก่าแล้ว หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ปลั๊กอินเก่าจะถูกนำมาใช้เป็นปลั๊กอินปกติ หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ปลั๊กอินเก่าจะไม่ถูกใช้ และระบบจะไม่สอบถามสิทธิ์ในการเรียกใช้ปลั๊กอินเก่าจากผู้ใช้ หากคุณไม่ได้กำหนดการตั้งค่านี้ ระบบจะสอบถามสิทธิ์ในการเรียกใช้ปลั๊กอินเก่าจากผู้ใช้
เปิดใช้งานการใช้หน้าข้อผิดพลาดสำรองอื่นๆ ที่มีการสร้างไว้ใน Google Chrome (เช่น "ไม่พบหน้าเว็บ") และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ จะมีการใช้หน้าข้อผิดพลาดสำรอง หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ จะไม่มีการใช้หน้าข้อผิดพลาดสำรอง หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการเปิดใช้งานแต่ผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
อนุญาตให้ Google Chrome เรียกใช้ปลั๊กอินที่ต้องมีการให้สิทธิ์ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ปลั๊กอินที่ยังไม่เก่าจะทำงานเสมอ หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งานหรือไม่ได้ตั้งค่า ระบบจะขออนุญาตจากผู้ใช้เพื่อเรียกใช้ปลั๊กอินที่ต้องมีการให้สิทธิ์ ปลั๊กอินเหล่านี้อาจทำให้ระบบผ่อนปรนเรื่องความปลอดภัยลง
กำหนดค่าภาษาแอปพลิเคชันใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนภาษาดังกล่าว หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะใช้ภาษาที่ระบุ หากภาษาที่กำหนดค่าไว้ไม่ได้รับการสนับสนุน "en-US" จะถูกนำมาใช้แทน หากคุณปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่าการตั้งค่านี้ Google Chrome อาจใช้ภาษาที่ต้องการตามที่ผู้ใช้ระบุ (หากกำหนดค่าไว้) ภาษาของระบบ หรือภาษาทางเลือก "en-US"
อนุญาตหรือปฏิเสธการจับเสียง
หากเปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่า (ค่าเริ่มต้น) ผู้ใช้จะได้รับแจ้งสำหรับ การเข้าถึงการจับเสียงยกเว้น URL ที่กำหนดค่าใน รายการ AudioCaptureAllowedUrls ซึ่งจะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงโดยไม่ต้องแจ้ง
เมื่อนโยบายนี้ถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้จะไม่ได้รับแจ้งและการจับ เสียงจะมีใช้งานแก่ URL ที่กำหนดค่าใน AudioCaptureAllowedUrls เท่านั้น
นโยบายนี้มีผลกระทบต่ออินพุตเสียงทุกประเภทและไม่ใช่เพียงแค่ไมโครโฟนในตัว
รูปแบบในรายการนี้จะจับคู่กันกับต้นทาง การรักษาความปลอดภัยของ URL ที่ขอ หากพบว่าตรงกัน ระบบจะอนุญาตให้ เข้าถึงอุปกรณ์จับเสียงโดยไม่แจ้งเตือน
หมายเหตุ: ใช้นโยบายนี้ได้ในโหมดคีออสก์เท่านั้นจนถึงเวอร์ชัน 45
อนุญาตให้เล่นเสียง
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" เอาต์พุตเสียงจะไม่สามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์ในขณะที่ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้
นโยบายนี้มีผลกับเอาต์พุตเสียงทุกประเภท ไม่ใช่เฉพาะกับลำโพงในตัวเท่านั้น นอกจากนี้คุณลักษณะด้านความสามารถในการเข้าถึงของเสียงยังถูกห้ามใช้งานเนื่องจากนโยบายนี้อีกด้วย อย่าเปิดใช้งานนโยบายนี้หากผู้ใช้ต้องการใช้โปรแกรมอ่านหน้าจอ
หากตั้งการตั้งค่านี้ไว้ที่ "จริง" หรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้จะสามารถใช้เอาต์พุตเสียงที่สนับสนุนทั้งหมดบนอุปกรณ์ของตน
นโยบายนี้ถูกกำหนดให้เลิกใช้แล้ว Google Chrome OS จะใช้กลยุทธ์ในการล้างข้อมูลแบบ "RemoveLRU" เสมอ
ควบคุมพฤติกรรมการล้างข้อมูลอัตโนมัติบนอุปกรณ์ Google Chrome OS การล้างข้อมูลอัตโนมัติจะเริ่มขึ้นเมื่อพื้นที่ว่างของดิสก์ลดลงถึงระดับวิกฤตเพื่อกู้คืนพื้นที่บางส่วนของดิสก์
หากกำหนดนโยบายนี้เป็น "RemoveLRU" การล้างข้อมูลอัตโนมัติจะลบผู้ใช้จากอุปกรณ์ไปเรื่อยๆ ตามลำดับการไม่เข้าสู่ระบบนานที่สุดจนกระทั่งมีพื้นที่ว่างเหลือพอ
หากกำหนดนโยบายนี้เป็น "RemoveLRUIfDormant" การล้างข้อมูลอัตโนมัติจะลบผู้ใช้ที่ไม่ได้เข้าสู่ระบบอย่างน้อย 3 เดือนไปเรื่อยๆ ตามลำดับการไม่เข้าสู่ระบบนานที่สุดจนกระทั่งมีพื้นที่ว่างเหลือพอ
หากไม่ได้กำหนดค่านโยบายนี้ การล้างข้อมูลอัตโนมัติจะใช้กลยุทธ์เริ่มต้นที่มีในตัว ซึ่งปัจจุบันคือกลยุทธ์ "RemoveLRUIfDormant"
เปิดใช้งานคุณลักษณะป้อนอัตโนมัติของ Google Chrome และช่วยให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลเว็บฟอร์มอัตโนมัติโดยใช้ข้อมูลที่เก็บไว้ก่อนหน้านี้ เช่น ที่อยู่หรือข้อมูลบัตรเครดิต หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะใช้งานการป้อนอัตโนมัติไม่ได้ หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่า การป้อนอัตโนมัติจะอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้ใช้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ใช้สามารถกำหนดค่าโปรไฟล์ป้อนอัตโนมัติและปิดหรือเปิดการป้อนอัตโนมัติได้ตามที่ผู้ใช้เห็นสมควร
กำหนดว่าการดำเนินการ Google Chrome จะเริ่มต้นบนการเข้าสู่ระบบของระบบปฏิบัติการและทำงานต่อเมื่อหน้าต่างเบราว์เซอร์สุดท้ายปิดลงไหม เพื่อให้แอปพื้นหลังและเซสชันการเรียกดูปัจจุบันยังคงใช้งานได้อยู่ ซึ่งรวมถึงคุกกี้เซสชันทั้งหมด การดำเนินการในพื้นหลังจะแสดงไอคอนในถาดระบบและสามารถปิดได้จากตรงนั้น
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น True โหมดพื้นหลังจะเปิดใช้และผู้ใช้จะควบคุมไม่ได้ในการตั้งค่าเบราว์เซอร์
หากนโยบายตั้งค่าเป็น False โหมดพื้นหลังจะปิดใช้และผู้ใช้จะควบคุมไม่ได้ในการตั้งค่าเบราว์เซอร์
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ โหมดพื้นหลังจะปิดใช้ในตอนแรกและผู้ใช้สามารถควบคุมได้ในการตั้งค่าเบราว์เซอร์
บล็อกคุกกี้ของบุคคลที่สาม การเปิดใช้งานการตั้งค่านี้จะป้องกันไม่ให้คุกกี้ถูกตั้งค่าโดยองค์ประกอบของหน้าเว็บที่ไม่ได้มาจากโดเมนที่อยู่ในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์ การปิดใช้งานการตั้งค่านี้จะช่วยให้คุกกี้ถูกตั้งค่าโดยองค์ประกอบของหน้าเว็บที่ไม่ได้มาจากโดเมนที่อยู่ในแถบที่อยู่ของเบราว์เซอร์และช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้ หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ คุกกี้ของบุคคลที่สามจะเปิดใช้งาน แต่ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
เปิดใช้งานแถบบุ๊กมาร์กใน Google Chrome หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะแสดงแถบบุ๊กมาร์ก หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่เห็นแถบบุ๊กมาร์ก หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome หากการตั้งค่านี้ไม่ได้กำหนดไว้ ผู้ใช้จะสามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้ฟังก์ชันนี้หรือไม่
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True หรือไม่ได้กำหนดค่า Google Chrome จะอนุญาตให้เพิ่มบุคคลจากการจัดการผู้ใช้
หากตั้งค่านโยบายเป็น False Google Chrome จะไม่อนุญาตให้สร้างโปรไฟล์ใหม่จากตัวจัดการโปรไฟล์
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True หรือไม่ได้กำหนดค่า Google Chrome จะเปิดใช้การเข้าสู่ระบบแบบผู้เยี่ยมชม การเข้าสู่ระบบแบบผู้เยี่ยมชมเป็นโปรไฟล์ของ Google Chrome ซึ่งหน้าต่างทุกบานจะอยู่ในโหมดไม่ระบุตัวตน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False Google Chrome จะไม่อนุญาตให้เริ่มต้นโปรไฟล์ผู้เยี่ยมชม
ควบคุมว่าจะใช้ไคลเอ็นต์ DNS ในตัวใน Google Chrome หรือไม่
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็นจริง จะมีการใช้ไคลเอ็นต์ DNS ในตัว (หากมี)
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็นเท็จ จะไม่มีการใช้ไคลเอ็นต์ DNS ในตัว
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนว่าจะใช้ไคลเอ็นต์ DNS ในตัวหรือไม่ ด้วยการแก้ไข chrome://flags หรือระบุการตั้งค่าสถานะบรรทัดคำสั่ง
นโยบายนี้จะอนุญาตให้ Google Chrome OS ผ่านพร็อกซีสำหรับการตรวจสอบสิทธิ์แคปทีฟพอร์ทัล
นโยบายนี้จะมีผลหากมีการกำหนดค่าพร็อกซี (ตัวอย่างเช่น ผ่านนโยบาย โดยผู้ใช้จาก chrome://settings หรือโดยส่วนขยาย)
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ หน้าการตรวจสอบสิทธิ์แคปทีฟพอร์ทัลต่างๆ (เช่น หน้าเว็บทั้งหมดโดยเริ่มตั้งแต่หน้าการลงชื่อเข้าใช้แคปทีฟพอร์ทัลไปจนถึงเมื่อ Google Chrome ตรวจพบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสำเร็จ) จะแสดงบนหน้าต่างใหม่โดยไม่ยึดตามข้อจำกัดและการตั้งค่านโยบายทั้งหมดสำหรับผู้ใช้ปัจจุบัน
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้หรือไม่ได้ตั้งค่า หน้าการตรวจสอบสิทธิ์แคปทีฟพอร์ทัลต่างๆ จะแสดงในแท็บใหม่ของเบราว์เซอร์ (ปกติ) โดยใช้การตั้งค่าพร็อกซีของผู้ใช้ปัจจุบัน
เปิดใช้งานการล็อกเมื่ออุปกรณ์ของ Google Chrome OS ไม่มีการใช้งานหรือถูกระงับใช้งาน
หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะได้รับแจ้งให้ป้อนรหัสผ่านเพื่อปลดล็อกอุปกรณ์จากโหมดสลีป
หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่ได้รับแจ้งให้ป้อนรหัสผ่านเพื่อปลดล็อกอุปกรณ์จากโหมดสลีป
หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่านี้ได้
หากปล่อยนโยบายไว้โดยไม่ตั้งค่า ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าเขาต้องการให้มีการสอบถามรหัสผ่านเพื่อปลดล็อกอุปกรณ์หรือไม่
ควบคุมพฤติกรรมของผู้ใช้ในเซสชันหลายโปรไฟล์บนอุปกรณ์ Google Chrome OS
หากกำหนดนโยบายนี้เป็น "MultiProfileUserBehaviorUnrestricted" ผู้ใช้สามารถเป็นผู้ใช้หลักหรือผู้ใช้รองในเซสชันหลายโปรไฟล์ได้
หากกำหนดนโยบายเป็น "MultiProfileUserBehaviorMustBePrimary" ผู้ใช้สามารถเป็นผู้ใช้หลักได้เท่านั้นในเซสชันหลายโปรไฟล์
หากกำหนดนโยบายนี้เป็น "MultiProfileUserBehaviorNotAllowed" ผู้ใช้ไม่สามารถเข้าร่วมเซสชันหลายโปรไฟล์
หากคุณทำการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแทนที่ได้
หากการตั้งค่ามีการเปลี่ยนแปลงขณะที่ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้เซสชันหลายโปรไฟล์ ผู้ใช้ทั้งหมดในเซสชันจะได้รับการตรวจสอบเทียบกับการตั้งค่าที่เกี่ยวข้องของพวกเขา เซสชันจะปิดลงหากมีผู้ใช้รายใดรายหนึ่งไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ในเซสชันอีกต่อไป
หากไม่กำหนดค่านโยบายนี้ ค่าเริ่มต้น "MultiProfileUserBehaviorMustBePrimary" จะนำไปใช้กับผู้ใช้ที่ได้รับการจัดการโดยองค์กรและ "MultiProfileUserBehaviorUnrestricted" จะนำไปใช้กับผู้ใช้ที่ไม่ได้รับการจัดการ
ระบุช่องทางแสดงผลที่ควรจะล็อกเข้ากับอุปกรณ์นี้
หากนโยบายนี้มีการกำหนดค่าเป็น "จริง" และไม่ได้ระบุนโยบาย ChromeOsReleaseChannel ไว้ ผู้ใช้ในโดเมนที่ลงทะเบียนจะได้รับอนุญาตให้เปลี่ยนแปลงช่องสำหร้บเปิดตัวการอัปเดตของอุปกรณ์ได้ หากนโยบายถูกกำหนดค่าเป็น "เท็จ" อุปกรณ์จะถูกล็อกในช่องใดก็ตามที่ถูกตั้งค่าไว้ล่าสุด
ช่องที่ผู้ใช้เลือกจะถูกแทนที่โดยนโยบาย ChromeOsReleaseChannel แต่ถ้าช่องนโยบายมีความเสถียรมากกว่าช่องที่ติดตั้งบนอุปกรณ์ ช่องดังกล่าวจะเปิด/ปิดใช้งานหลังจากที่ช่องที่เสถียรมากกว่าอัปเกรดไปจนถึงรุ่นที่สูงกว่าช่องที่ติดตั้งบนอุปกรณ์
นโยบายนี้ได้ถูกยกเลิกตั้งแต่ Google Chrome เวอร์ชัน 29
ช่วยให้ Google Chrome ทำหน้าที่เป็นพร็อกซีระหว่าง Google Cloud Print และเครื่องพิมพ์แบบดั้งเดิมที่เชื่อมต่อกับเครื่อง
หากมีการเปิดการตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถเปิดใช้งานพร็อกซี Cloud Print โดยการตรวจสอบสิทธิ์กับบัญชี Google ของตน
หากปิดการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดใช้งานพร็อกซีและเครื่องจะไม่ได้รับอนุญาตให้แชร์เครื่องพิมพ์กับ Google Cloud Print
เปิดใช้งาน Google Chrome ให้ทำการส่งเอกสารไปยัง Google Cloud Print สำหรับการพิมพ์ หมายเหตุ: นโยบายนี้มีผลเฉพาะกับการสนับสนุน Google Cloud Print ใน Google Chrome โดยไม่ได้ป้องกันผู้ใช้จากการส่งงานพิมพ์บนเว็บไซต์ หากการตั้งค่านี้เปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้จะสามารถพิมพ์ไป Google Cloud Print จากช่องโต้ตอบการพิมพ์ของ Google Chrome หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้ไม่สามารถพิมพ์ไป Google Cloud Print จากช่องโต้ตอบการพิมพ์ของ Google Chrome
เปิดใช้ตัวเลือก "แตะเพื่อค้นหา" ในมุมมองเนื้อหาของ Google Chrome
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ แตะเพื่อค้นหาจะมีให้ผู้ใช้เลือกใช้ ผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะเปิดหรือปิดคุณลักษณะนี้ได้
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้ แตะเพื่อค้นหาจะถูกปิดใช้ทั้งหมด
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ จะเทียบเท่ากับการเปิดใช้การตั้งค่า โปรดดูรายละเอียดข้างต้น
เปิดใช้หรือปิดใช้พร็อกซีการบีบอัดข้อมูล และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้ หากคุณเปิดใช้หรือปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือโอเวอร์ไรด์การตั้งค่านี้
หากนโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่า คุณลักษณะพร็อกซีการบีบอัดข้อมูลจะพร้อมใช้งานสำหรับให้ผู้ใช้เลือกว่าจะใช้หรือไม่ใช้
กำหนดค่าการตรวจสอบเบราว์เซอร์เริ่มต้นใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตรวจสอบดังกล่าว หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะตรวจสอบทุกครั้งที่เริ่มต้นใช้งานว่าตนเองเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นหรือไม่ และจะลงทะเบียนตนเองโดยอัตโนมัติหากทำได้ หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งาน Google Chrome จะไม่ตรวจสอบว่าตนเองเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นหรือไม่ และจะปิดใช้งานการควบคุมโดยผู้ใช้สำหรับการตั้งค่าตัวเลือกนี้ หากไม่มีการกำหนดการตั้งค่านี้ Google Chrome จะอนุญาตให้ผู้ใช้ควบคุมได้ว่าจะให้ตนเองเป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้นหรือไม่ และควรแสดงการแจ้งเตือนผู้ใช้หรือไม่เมื่อตนเองไม่ได้เป็นเบราว์เซอร์เริ่มต้น
ลบล้างกฎการเลือกเครื่องพิมพ์เริ่มต้นของ Google Chrome
นโยบายนี้ระบุกฎสำหรับการเลือกเครื่องพิมพ์เริ่มต้นใน Google Chrome ซึ่งเกิดขึ้นในครั้งแรกที่มีการใช้ฟังก์ชันการพิมพ์กับโปรไฟล์ใดโปรไฟล์หนึ่ง
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome จะพยายามหาเครื่องพิมพ์ที่ตรงกับแอตทริบิวต์ทั้งหมดที่ระบุไว้ และเลือกเครื่องพิมพ์นั้นเป็นค่าเริ่มต้น ระบบจะเลือกเครื่องพิมพ์แรกที่พบว่าตรงกับนโยบายในกรณีที่มีเครื่องพิมพ์ตรงกันที่สามารถเลือกได้หลายเครื่อง โดยขึ้นอยู่กับลำดับของเครื่องพิมพ์ที่ค้นพบ
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้หรือไม่พบเครื่องพิมพ์ที่ตรงกันก่อนหมดเวลา ระบบจะตั้งค่าเครื่องพิมพ์เริ่มต้นเป็นเครื่องพิมพ์ PDF ในตัว หรือหากไม่มีเครื่องพิมพ์ PDF ก็จะไม่เลือกเครื่องพิมพ์ใดๆ
จะมีการแยกวิเคราะห์ค่าเป็นออบเจ็กต์ JSON โดยเป็นไปตามสคีมาต่อไปนี้: { "type": "object", "properties": { "kind": { "description": "Whether to limit the search of the matching printer to a specific set of printers.", "type": { "enum": [ "local", "cloud" ] } }, "idPattern": { "description": "Regular expression to match printer id.", "type": "string" }, "namePattern": { "description": "Regular expression to match printer display name.", "type": "string" } } }
เครื่องพิมพ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่อกับ Google Cloud Print จะถือว่าเป็น "cloud" เครื่องพิมพ์ที่เหลือจะจัดประเภทเป็น "local" การข้ามช่องใดช่องหนึ่งไปแสดงว่าค่าทั้งหมดตรง ตัวอย่างเช่น การไม่ระบุการเชื่อมต่อจะทำให้การแสดงตัวอย่างก่อนพิมพ์เริ่มการค้นหาเครื่องพิมพ์ทุกประเภท ทั้งเครื่องพิมพ์ที่ต่อกับระบบและในระบบคลาวด์ รูปแบบนิพจน์ทั่วไปต้องเป็นไปตามไวยากรณ์ JavaScript RegExp และการจับคู่จะคำนึงถึงตัวพิมพ์อักษรเล็กและใหญ่
ปิดใช้งานเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และคอนโซล JavaScript หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ จะไม่สามารถเข้าถึงเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์ได้และจะไม่สามารถตรวจสอบองค์ประกอบของเว็บไซต์ได้อีกต่อไป แป้นพิมพ์ลัดใดๆ และเมนูหรือข้อความเมนูตามบริบทใดๆ ที่เปิดเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์หรือคอนโซล JavaScript จะถูกปิดใช้งาน การตั้งค่าตัวเลือกนี้เป็นปิดใช้งานหรือปล่อยไว้โดยไม่ได้ตั้งค่าจะเป็นการอนุญาตให้ใช้เครื่องมือสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์และคอนโซล JavaScript
ควบคุมว่า Google Chrome OS จะอนุญาตให้สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่หรือไม่ หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" ผู้ใช้ที่ไม่มีบัญชีอยู่จะไม่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "จริง" หรือไม่ตั้งค่า จะเป็นการอนุญาตให้สร้างบัญชีผู้ใช้ใหม่ได้ถ้า DeviceUserWhitelist ไม่ได้ป้องกันผู้ใช้จากการลงชื่อเข้าใช้
ผู้ดูแลระบบ IT สำหรับอุปกรณ์ขององค์กรสามารถใช้การตั้งสถานะนี้เพื่อควบคุมว่าจะอนุญาตผู้ใช้ให้แลกรับข้อเสนอพิเศษผ่านการลงทะเบียน Chrome OS ไหม
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็นจริงหรือไม่มีการตั้งค่า ผู้ใช้จะสามารถแลกรับข้อเสนอพิเศษผ่านการลงทะเบียน Chrome OS ได้
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็นเท็จ ผู้ใช้จะไม่สามารถแลกรับข้อเสนอพิเศษได้
นโยบายนี้ใช้งานได้ในโหมดปลีกเท่านั้น
แสดงรายการส่วนขยายที่ติดตั้งอัตโนมัติสำหรับผู้ใช้การสาธิตสำหรับอุปกรณ์ในโหมดปลีก ส่วนขยายเหล่านี้ถูกบันทึกไว้ในอุปกรณ์และติดตั้งขณะที่ออฟไลน์ได้หลังจากการติดตั้ง
แต่ละรายการจะมีพจนานุกรมที่ต้องมี ID ส่วนขยายในฟิลด์ "extension-id" และ URL การอัปเดตในฟิลด์ "update-url"
ปิดใช้งานการอัปเดตอัตโนมัติเมื่อตั้งค่าเป็น "จริง"
อุปกรณ์ของ Google Chrome OS จะตรวจหาการอัปเดตอัตโนมัติเมื่อไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้หรือตั้งค่าเป็น "เท็จ"
ระบุว่าจะใช้ p2p สำหรับส่วนข้อมูลการอัปเดต OS ไหม หากตั้งค่าเป็น "จริง" อุปกรณ์จะแชร์และพยายามรับส่วนข้อมูลการอัปเดตบน LAN ซึ่งอาจลดแบนด์วิดท์และความคับคั่งในอินเทอร์เน็ต หากส่วนข้อมูลการอัปเดตไม่พร้อมใช้งานบน LAN อุปกรณ์จะกลับไปใช้การดาวน์โหลดจากเซิร์ฟเวอร์การอัปเดต หากตั้งค่าเป็น "เท็จ" หรือไม่กำหนดค่า p2p จะไม่ถูกใช้งาน
บล็อกโหมดนักพัฒนาซอฟต์แวร์
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True Google Chrome OS จะป้องกันไม่ให้อุปกรณ์บูตเข้าสู่โหมดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ ระบบจะปฏิเสธการบูตและแสดงหน้าจอข้อผิดพลาดเมื่อมีการเปิดโหมดนักพัฒนาซอฟต์แวร์
หากไม่ตั้งค่านโยบายหรือตั้งเป็น False จะสามารถใช้โหมดนักพัฒนาซอฟต์แวร์ในอุปกรณ์ได้
กำหนดว่าควรจะเปิดใช้งานการโรมมิ่งข้อมูลสำหรับอุปกรณ์หรือไม่ หากตั้งค่าเป็น "จริง" การโรมมิ่งข้อมูลจะได้รับอนุญาต หากไม่กำหนดค่าหรือตั้งค่าเป็น "เท็จ" จะไม่สามารถใช้การโรมมิ่งข้อมูลได้
กำหนดว่าจะให้ Google Chrome OS เก็บข้อมูลบัญชีในตัวเครื่องหลังจากที่ออกจากระบบหรือไม่ หากตั้งค่าเป็น "จริง" Google Chrome OS จะไม่เก็บบัญชีใดๆ ไว้อย่างถาวร และข้อมูลทั้งหมดจากเซสชันผู้ใช้จะถูกยกเลิกหลังจากที่ออกจากระบบ ถ้านโยบายนี้ถูกกำหนดเป็น "เท็จ" หรือไม่กำหนดค่า อุปกรณ์อาจเก็บข้อมูลผู้ใช้ในตัวเครื่องไว้ (โดยที่เข้ารหัส)
หากตั้งค่านโยบายเป็น "จริง" หรือไม่ตั้งค่า Google Chrome OS จะเปิดใช้งานการลงชื่อเข้าใช้ของผู้มาเยือน การลงชื่อเข้าใช้ของผู้มาเยือนจะเป็นเซสชันผู้ใช้แบบไม่ระบุตัวตนและไม่จำเป็นต้องใช้รหัสผ่าน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" Google Chrome OS จะไม่อนุญาตให้เริ่มเซสชันของผู้มาเยือน
นโยบายนี้มีการใช้งานในโหมดปลีกเท่านั้น
เมื่อค่าในนโยบายนี้มีการตั้งค่าและไม่เท่ากับ 0 ผู้ใช้การสาธิตที่เข้าสู่ระบบอยู่ในปัจจุบันจะออกจากระบบโดยอัตโนมัติหลังจากระยะเวลาที่ไม่ได้ทำกิจกรรมเลยช่วงเวลาที่ได้ระบุไว้
ค่าในนโยบายควรระบุด้วยหน่วยมิลลิวินาที
นโยบายนี้ใช้งานได้ในโหมดปลีกเท่านั้น
เมื่อมีการระบุค่า DeviceIdleLogoutTimeout นโยบายนี้จะกำหนดระยะเวลาของช่องเตือนที่มีตัวเลขนับถอยหลังซึ่งจะแสดงให้ผู้ใช้เห็นก่อนที่จะดำเนินการออกจากระบบ
ควรระบุค่าของนโยบายเป็นมิลลิวินาที
เปิดใช้งานทางลัดแป้นพิมพ์ bailout สำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ
หากนโยบายนี้ไม่ได้รับการตั้งค่าหรือตั้งค่าเป็น True และบัญชีภายในอุปกรณ์ได้รับการกำหนดค่าสำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติแบบมีความล่าช้าเป็นศูนย์ Google Chrome OS จะใช้ทางลัดแป้นพิมพ์ Ctrl+Alt+S สำหรับข้ามการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติและแสดงหน้าจอเข้าสู่ระบบ
หากนโยบายนี้ได้รับการตั้งค่าเป็น False จะไม่สามารถข้ามการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติแบบมีความล่าช้าเป็นศูนย์ได้ (หากมีการกำหนดค่า)
การลงชื่อเข้าใช้อัตโนมัติสู่เซสชันสาธารณะล่าช้า
หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย |DeviceLocalAccountAutoLoginId| นโยบายนี้จะไม่มีผลใดๆ ในทางกลับกัน
หากมีการตั้งค่านโยบายนี้ จะเป็นการระบุปริมาณเวลาที่ไม่มีกิจกรรมของผู้ใช้ที่ควรล่วงเลยไปก่อนการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติไปยังเซสชันสาธารณะที่ระบุโดยนโยบาย |DeviceLocalAccountAutoLoginId|
หากไม่มีการตั้งค่านโยบาย ระยะหมดเวลาจะเป็น 0 มิลลิวินาที
นโยบายนี้จะถูกระบุในหน่วยมิลลิวินาที
เซสชันสาธารณะเพื่อการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติหลังจากความล่าช้า
หากมีการตั้งค่านโยบายนี้ เซสชันที่ระบุจะถูกลงชื่อเข้าใช้อัตโนมัติหลังจากช่วงเวลาหนึ่งได้ล่วงเลยไปบนหน้าจอการเข้าสู่ระบบโดยไม่มีการโต้ตอบของผู้ใช้ เซสชันสาธารณะต้องได้รับการกำหนดค่าไว้แล้ว (ดู |DeviceLocalAccounts|)
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติ
เปิดใช้พรอมต์การกำหนดค่าเครือข่ายเมื่อออฟไลน์
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้หรือมีการตั้งค่าเป็น "จริง" และบัญชีในตัวอุปกรณ์ได้รับการกำหนดค่าสำหรับการเข้าสู่ระบบอัตโนมัติแบบไม่ล่าช้า และอุปกรณ์ไม่มีการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต Google Chrome OS จะแสดงพรอมต์การกำหนดค่าเครือข่าย
หากนโยบายนี้มีการตั้งค่าเป็น "เท็จ" ข้อความแสดงข้อผิดพลาดจะปรากฏขึ้นแทนพรอมต์การกำหนดค่าเครือข่าย
ระบุรายการบัญชีภายในอุปกรณ์ที่จะแสดงในหน้าลงชื่อเข้าใช้
แต่ละข้อมูลในรายการจะระบุตัวชี้ ซึ่งใช้ภายในสำหรับการแยกบัญชีภายในอุปกรณ์จากกัน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็นสตริงเปล่าหรือไม่ได้กำหนดค่า Google Chrome OS จะไม่แสดงตัวเลือกเติมข้อความอัตโนมัติในระหว่างขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ของผู้ใช้ หากตั้งค่านโยบายนี้เป็นสตริงที่แสดงชื่อโดเมน Google Chrome OS จะแสดงตัวเลือกเติมข้อความอัตโนมัติในขณะที่ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้ โดยอนุญาตให้ผู้ใช้พิมพ์เฉพาะชื่อผู้ใช้โดยไม่ต้องมีส่วนขยายชื่อโดเมน ผู้ใช้สามารถเขียนทับส่วนขยายชื่อโดเมนนี้ได้
กำหนดค่าการจัดการพลังงานบนหน้าจอเข้าสู่ระบบใน Google Chrome OS
นโยบายนี้ให้คุณกำหนดค่าวิธีการทำงานของ Google Chrome OS เมื่อไม่มีกิจกรรมของผู้ใช้เป็นระยะเวลาหนึ่งๆ ขณะที่กำลังแสดงหน้าจอเข้าสู่ระบบ นโยบายจะควบคุมการตั้งค่าหลายอย่าง สำหรับอรรถศาสตร์ส่วนบุคคลและช่วงค่า โปรดดูนโยบายที่เกี่ยวข้องซึ่งควบคุมการจัดการพลังงานภายในเซสชัน ความคลาดเคลื่อนเดียวจากนโยบายดังกล่าวได้แก่ * การดำเนินการเมื่อไม่มีการใช้งานหรือเมื่อปิดฝาเครื่องไม่สามารถเป็นการปิดเซสชัน * การดำเนินการเริ่มต้นเมื่อไม่มีการใช้งานขณะใช้ไฟ AC คือการปิดระบบ
หากไม่ได้ระบุการตั้งค่า ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้น
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ค่าเริ่มต้นสำหรับการตั้งค่าทั้งหมด
นโยบายนี้ใช้งานได้ในโหมดปลีกเท่านั้น
กำหนด ID ของส่วนขยายที่จะใช้เป็นโปรแกรมรักษาหน้าจอบนหน้าจอลงชื่อเข้าใช้ ส่วนขยายนี้ต้องเป็นส่วนหนึ่งของ AppPack ซึ่งได้รับการกำหนดค่าสำหรับโดเมนนี้ผ่านทางนโยบาย DeviceAppPack
นโยบายนี้ใช้งานได้ในโหมดปลีกเท่านั้น
กำหนดระยะเวลาการไม่ใช้งานก่อนที่โปรแกรมรักษาหน้าจอจะแสดงขึ้นบนหน้าจอลงชื่อเข้าใช้สำหรับอุปกรณ์ในโหมดปลีก
ควรระบุค่าของนโยบายเป็นมิลลิวินาที
ควบคุมว่าจะรายงานเมตริกการใช้งานกลับไปที่ Google หรือไม่ หากตั้งค่าเป็น "จริง" Google Chrome OS จะรายงานเมตริกการใช้งาน หากไม่กำหนดค่าหรือตั้งค่าเป็น "เท็จ" การรายงานเมตริกจะถูกปิดใช้งาน
อนุญาตให้ใช้การกำหนดค่าเครือข่ายแบบพุชสำหรับผู้ใช้ทั้งหมดของอุปกรณ์ Google Chrome OS การกำหนดค่าเครือข่ายจะเป็นสตริงรูปแบบ JSON ตามที่กำหนดโดยรูปแบบการกำหนดค่าเครือข่ายแบบเปิดซึ่งอธิบายไว้ที่ https://sites.google.com/a/chromium.org/dev/chromium-os/chromiumos-design-docs/open-network-configuration
ระบุระยะเวลาเป็นหน่วยมิลลิวินาทีสำหรับการสอบถามบริการจัดการอุปกรณ์เกี่ยวกับข้อมูลนโยบายอุปกรณ์
การตั้งค่านโยบายนี้จะลบล้างค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง ค่าที่ใช้ได้สำหรับนโยบายนี้ต้องอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1800000 (30 นาที) ถึง 86400000 (1 วัน) ค่าใดๆ ที่ไม่อยู่ในช่วงนี้จะถูกปรับเป็นค่าที่ขอบที่เหมาะสม
การปล่อยนโยบายนี้ไว้โดยไม่ตั้งค่าจะทำให้ Google Chrome OS ใช้ค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง
หากนโยบายตั้งค่าเป็น False หรือไม่ได้กำหนดค่า Google Chrome OS จะอนุญาตให้ผู้ใช้ปิดอุปกรณ์
หากนโยบายตั้งค่าเป็น True Google Chrome OS จะทริกเกอร์การเริ่มอุปกรณ์ใหม่เมื่อผู้ใช้ปิดอุปกรณ์ Google Chrome OS จะแทนรายการปุ่มปิดทั้งหมดใน UI ด้วยปุ่มเริ่มต้นใหม่ หากผู้ใช้ปิดอุปกรณ์ด้วยปุ่มเปิดปิด เครื่องจะไม่เริ่มต้นใหม่โดยอัตโนมัติ แม้ว่าจะเปิดใช้นโยบายก็ตาม
หากตั้งค่านโยบายเป็น "จริง" หรือไม่ตั้งค่า Google Chrome OS จะแสดงผู้ใช้ที่มีอยู่บนหน้าจอการลงชื่อเข้าใช้และอนุญาตให้เลือกผู้ใช้ได้ หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" Google Chrome OS จะใช้ชื่อในหน้าต่างสอบถามชื่อผู้ใช้/รหัสผ่านสำหรับการลงชื่อเข้าใช้
ระบุการตั้งค่าสถานะที่ควรนำไปใช้กับ Google Chrome เมื่อเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ โดยจะใช้การตั้งค่าสถานะที่ระบุนี้ก่อนที่ Google Chrome จะเริ่มขึ้นแม้เพียงหน้าจอการลงชื่อเข้าใช้
นโยบายนี้ใช้งานได้ในโหมดปลีกเท่านั้น
กำหนดชุด URL ที่จะโหลดเมื่อเริ่มเซสชันการสาธิต นโยบายนี้จะลบล้างกลไกใดๆ ที่ใช้ในการตั้งค่า URL เริ่มต้น และจะสามารถใช้ได้กับเซสชันที่ไม่เชื่อมโยงกับผู้ใช้ใดเป็นการเฉพาะเท่านั้น
ตั้งค่ารุ่นเป้าหมายสำหรับการอัปเดตอัตโนมัติ
กำหนดส่วนนำของรุ่นเป้าหมายที่จะอัปเดต Google Chrome OS หากอุปกรณ์กำลังเรียกใช้รุ่นที่ออกมาก่อนส่วนนำที่ระบุ อุปกรณ์จะอัปเดตเป็นรุ่นล่าสุดพร้อมส่วนนำที่ระบุนั้นๆ หากอุปกรณ์เป็นรุ่นล่าสุดอยู่แล้ว จะไม่มีผลกระทบใดเกิดขึ้น (เช่น จะไม่มีการปรับลดรุ่น) และอุปกรณ์จะยังคงอยู่ในรุ่นปัจจุบัน รูปแบบของส่วนนำทำงานร่วมกับส่วนประกอบดังเช่นที่แสดงในตัวอย่างต่อไปนี้ได้อย่างชาญฉลาด:
"" (หรือที่ไม่ได้กำหนดค่า): อัปเดตเป็นรุ่นล่าสุดที่มีให้บริการ "1412.": อัปเดตเป็นรุ่นใดก็ได้ที่รองลงมาจาก 1412 (เช่น 1412.24.34 หรือ 1412.60.2) "1412.2.": อัปเดตเป็นรุ่นใดก็ได้ที่รองลงมาจาก 1412.2 (เช่น 1412.2.34 หรือ 1412.2.2) "1412.24.34": อัปเดตเป็นรุ่นนี้เท่านั้น
ระบุว่าควรโอนคุกกี้การตรวจสอบสิทธิ์ที่กำหนดโดย SAML IdP ในขณะลงชื่อเข้าใช้ไปที่โปรไฟล์ของผู้ใช้ไหม
เมื่อผู้ใช้ตรวจสอบสิทธิ์ผ่าน SAML IdP ในขณะลงชื่อเข้าใช้ คุกกี้ที่กำหนดโดย IdP จะเขียนลงในโปรไฟล์ชั่วคราวก่อน คุกกี้เหล่านี้สามารถโอนไปที่โปรไฟล์ของผู้ใช้เพื่อส่งต่อสถานะการตรวจสอบสิทธิ์ได้
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้เป็น True คุกกี้ที่กำหนดโดย IdP จะถูกโอนไปที่โปรไฟล์ของผู้ใช้ทุกครั้งที่ผู้ใช้ตรวจสอบสิทธิ์กับ SAML IdP ในขณะลงชื่อเข้าใช้
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้เป็น False หรือไม่ได้ตั้งค่า ระบบจะโอนคุกกี้ที่กำหนดโดย IdP ไปที่โปรไฟล์ของผู้ใช้ในระหว่างการลงชื่อเข้าใช้บนอุปกรณ์เป็นครั้งแรกของผู้ใช้เท่านั้น
นโยบายนี้มีผลต่อผู้ใช้ที่มีโดเมนตรงกับโดเมนการลงทะเบียนของอุปกรณ์เท่านั้น สำหรับผู้ใช้คนอื่นๆ ทั้งหมด คุกกี้ที่กำหนดโดย IdP จะถูกโอนไปที่โปรไฟล์ของผู้ใช้ในระหว่างการลงชื่อเข้าใช้บนอุปกรณ์เป็นครั้งแรกของผู้ใช้เท่านั้น
ประเภทของการเชื่อมต่อที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สำหรับการอัปเดตระบบปฏิบัติการ การอัปเดตระบบปฏิบัติการทำให้การเชื่อมต่อต้องทำงานหนักมากเนื่องจากขนาดของการอัปเดตและอาจทำให้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม ดังนั้น การอัปเดตระบบดังกล่าวจะไม่ถูกเปิดใช้โดยค่าเริ่มต้นสำหรับประเภทการเชื่อมต่อที่มีราคาแพง ซึ่งรวมถึง WiMax, บลูทูธ และการเชื่อมต่อมือถือในปัจจุบัน
ตัวระบุประเภทการเชื่อมต่อที่เป็นที่รู้จักกันได้แก่ "อีเทอร์เน็ต", "Wi-Fi", "WiMax", "บลูทูธ" และ "การเชื่อมต่อมือถือ"
การอัปเดตรายได้อัตโนมัติบน Google Chrome OS สามารถดาวน์โหลดผ่าน HTTP แทน HTTPS ได้ ซึ่งจะทำให้การแคชการดาวน์โหลดของ HTTP เป็นแบบโปร่งใส
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "จริง" จะทำให้ Google Chrome OS พยายามดาวน์โหลดการอัปเดตรายได้อัตโนมัติผ่าน HTTP หากตั้งค่านโยบายเป็น "เท็จ" หรือไม่ตั้งเลย จะมีการใช้ HTTPS สำหรับการดาวน์โหลดการอัปเดตรายได้อัตโนมัติ
ระบุจำนวนวินาทีสูงสุดที่อุปกรณ์อาจสุ่มหน่วงเวลาการดาวโหลดการอัปเดตนับตั้งแต่ที่มีการส่งการอัปเดตไปยังเซิร์ฟเวอร์ อุปกรณ์อาจใช้เวลาส่วนหนึ่งรอขณะที่คอมพิวเตอร์เริ่มทำงานจนกระทั่งเสร็จสิ้นและใช้เวลาส่วนที่เหลือสำหรับการตรวจสอบการอัปเดตจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าในกรณีใด การกระจายจะเข้าใกล้ขอบเขตบนของระยะเวลาคงที่ อุปกรณ์จึงไม่ต้องค้างรอการดาวน์โหลดการอัปเดตอย่างไม่สิ้นสุด
กำหนดรายชื่อผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตให้ลงชื่อเข้าใช้อุปกรณ์ โดยมีรูปแบบดังนี้ user@domain เช่น madmax@managedchrome.com หากต้องการอนุญาตให้ผู้ใช้ใดก็ได้ในโดเมน ให้ใช้รูปแบบนี้ *@domain
หากไม่กำหนดค่านโยบายนี้ ก็จะไม่มีข้อจำกัดใดๆ สำหรับผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตให้ลงชื่อเข้าใช้ โปรดทราบว่าการสร้างผู้ใช้ใหม่ยังคงจำเป็นต้องกำหนดค่าของนโยบาย DeviceAllowNewUsers ให้เหมาะสม
ปิดใช้การสนับสนุนสำหรับ API กราฟิก 3 มิติ
การเปิดใช้การตั้งค่านี้จะป้องกันไม่ให้หน้าเว็บเข้าถึงหน่วยการประมวลผลกราฟิก (GPU) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน้าเว็บที่ไม่สามารถเข้าถึง WebGL API และปลั๊กอินจะใช้ Pepper 3D API ไม่ได้
การปิดใช้การตั้งค่านี้หรือการปล่อยไว้โดยไม่ตั้งค่าอาจอนุญาตหน้าเว็บให้ใช้ WebGL API และอนุญาตให้ปลั๊กอินใช้ Pepper 3D API การตั้งค่าเริ่มต้นของเบราว์เซอร์อาจต้องใช้ อาร์กิวเมนต์บรรทัดคำสั่งที่จะถูกส่งผ่านไปเพื่อใช้ API เหล่านี้
หาก HardwareAccelerationModeEnabled ตั้งค่าเป็น False Disable3DAPIs จะถูกเพิกเฉย ซึ่งเท่ากับการตั้งค่า Disable3DAPIs เป็น True
หากคุณกำหนดการตั้งค่านี้เป็นเปิดใช้งาน การค้นหาอัตโนมัติและการติดตั้งปลั๊กอินที่ขาดหายไปจะถูกปิดใช้งานใน Google Chrome การตั้งค่าตัวเลือกนี้เป็นปิดใช้งานหรือปล่อยไว้โดยไม่ได้ตั้งค่า เครื่องมือค้นหาปลั๊กอินจะทำงาน
แสดงกล่องโต้ตอบการพิมพ์ของระบบแทนหน้าตัวอย่างการพิมพ์
เมื่อเปิดการตั้งค่านี้ Google Chrome จะเปิดกล่องโต้ตอบการพิมพ์ของระบบแทนหน้าตัวอย่างการพิมพ์ในตัวเมื่อผู้ใช้ขอให้พิมพ์หน้าเว็บ
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้หรือตั้งค่าเป็นเท็จ คำสั่งพิมพ์จะเรียกหน้าตัวอย่างการพิมพ์ขึ้นมา
ระบุว่าควรปิดใช้การเพิ่มประสิทธิภาพ TLS False Start ไหม ด้วยเหตุผลในอดีต นโยบายนี้มีชื่อว่า DisableSSLRecordSplitting
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ หรือตั้งค่าเป็น False ระบบจะเปิดใช้ TLS False Start หากตั้งค่าเป็น True ระบบจะปิดใช้ TLS False Start
บริการ Google Safe Browsing แสดงหน้าคำเตือนเมื่อผู้ใช้ไปยังไซต์ที่ถูกตั้งค่าสถานะว่าอาจเป็นอันตราย การเปิดใช้การตั้งค่านี้จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ไปต่อจากหน้าคำเตือนไปยังไซต์ที่เป็นอันตราย
หากการตั้งค่านี้ถูกปิดหรือไม่ได้กำหนดค่าไว้ ผู้ใช้สามารถเลือกที่จะไปยังไซต์ที่ถูกตั้งค่าสถานะหลังจากที่คำเตือนแสดงขึ้นมาได้
ปิดใช้งานการจับภาพหน้าจอ
หากเปิดใช้งานไว้ จะไม่สามารถจับภาพหน้าจอโดยใช้แป้นพิมพ์ลัดหรือ API ของส่วนขยาย
หากปิดใช้งานหรือไม่ได้ระบุ จะสามารถจับภาพหน้าจอได้
ปิดใช้งานการใช้โปรโตคอล SPDY ใน Google Chrome หากนโยบายนี้ถูกเปิดใช้งาน โปรโตคอล SPDY จะไม่สามารถใช้ได้ใน Google Chrome การตั้งค่านโยบายนี้เป็นปิดใช้งานจะทำให้สามารถใช้ SPDY ได้ และหากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ก็จะสามารถใช้ SPDY ได้
ระบุรายการปลั๊กอินที่ปิดใช้งานใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้่ใช้ทำการเปลี่ยนแปลง
สัญลักษณ์แทน "*" และ "?" สามารถใช้เพื่อจับคู่กับอักขระต่างๆ ที่เรียงกันอย่างอิสระได้ "*" จะจับคู่กับอักขระจำนวนเท่าใดก็ได้ในขณะที่ "?" จะระบุถึงอักขระเดียวซึ่งจะมีหรือไม่ก็ได้ เช่น จับคู่กับอักขระศูนย์หรือหนึ่งตัว อักขระสำหรับเลี่ยงคือ "\" ซึ่งในกรณีที่คุณต้องการจับคู่กับอักขระ "*", "?" หรือ "\" จริงๆ คุณสามารถวาง "\" ไว้ข้างหน้าอักขระดังกล่าวได้
หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ รายการปลั๊กอินที่ระบุไว้จะไม่ถูกใช้เลยใน Google Chrome ปลั๊กอินจะถูกทำเครื่องหมายว่าปิดใช้งานใน "about:plugins" และผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดใช้งานได้
โปรดทราบว่านโยบายนี้สามารถถูกลบล้างได้โดย EnabledPlugins และ DisabledPluginsExceptions
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถใช้ปลั๊กอินใดๆ ก็ตามที่ติดตั้่งไว้ในระบบได้ ยกเว้นปลั๊กอินที่ไม่สามารถทำงานร่วมกันซึ่งมีการฮาร์ดโค้ด ล้าสมัย หรือที่เป็นอันตราย
ระบุรายชื่อปลั๊กอินที่ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้ใน Google Chrome ได้
อักขระสัญลักษณ์แทน "*" และ "?" สามารถใช้เพื่อจับคู่ลำดับของอักขระแบบกำหนดเอง "*" จับคู่จำนวนอักขระแบบกำหนดเอง ขณะที่ "?" ระบุอักขระเดี่ยวที่เลือกได้ เช่น จับคู่เลขศูนย์หรืออักขระใดๆ อักขระสำหรับ Escape คือ "\" ฉะนั้นการจับคู่อักขระ "*", "?" หรือ "\" คุณสามารถใส่ "\" ไว้ข้างหน้าได้
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ รายชื่อปลั๊กอินที่ระบุสามารถใช้ใน Google Chrome ได้ ผู้ใช้สามารถเปิดหรือปิดใช้รายชื่อได้ใน "about:plugins" แม้ว่าปลั๊กอินจะตรงกับรูปแบบใน DisabledPlugins ผู้ใช้สามารถเปิดและปิดใช้ปลั๊กอินที่ไม่ตรงกับรูปแบบใดๆ ใน DisabledPlugins, DisabledPluginsExceptions และ EnabledPlugins ได้
นโยบายนี้ใช้สำหรับอนุญาตปลั๊กอินที่อยู่ในบัญชีดำที่เข้มงวดซึ่งรายชื่อ "DisabledPlugins" มีรายการที่เป็นสัญลักษณ์แทน เช่น ปิดใช้ปลั๊กอินทั้งหมด "*" หรือปิดใช้ปลั๊กอิน Java ทั้งหมด "*Java*" แต่ผู้ดูแลระบบที่ต้องการเปิดใช้ปลั๊กอินบางเวอร์ชัน เช่น "IcedTea Java 2.3" สามารถระบุเวอร์ชันนี้ในนโยบายนี้ได้
โปรดทราบว่าทั้งชื่อปลั๊กอินและชื่อกลุ่มของปลั๊กอินต้องได้รับการยกเว้นไว้ ปลั๊กอินแต่ละกลุ่มจะปรากฏในส่วนต่างๆ แยกกันใน about:plugins โดยในแต่ละส่วนอาจมีปลั๊กอินอย่างน้อยหนึ่งรายการ ตัวอย่างเช่น ปลั๊กอิน "Shockwave Flash" เป็นของกลุ่ม "Adobe Flash Player" และทั้งสองชื่อต้องตรงกับในรายการข้อยกเว้นหากปลั๊กอินดังกล่าวได้รับการยกเว้นจากบัญชีดำ
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ปลั๊กอินที่ตรงกับรูปแบบใน "DisabledPlugins" จะถูกปิดไว้และผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดใช้ได้
นโยบายนี้ได้ถูกเลิกใช้งาน โปรดใช้ URLBlacklist แทน
ปิดใช้งานรูปแบบโปรโตคอลที่ระบุไว้ใน Google Chrome
URL ที่ใช้รูปแบบจากรายการนี้จะไม่โหลดและจะไม่สามารถไปยัง URL นั้นได้
หากนโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่าหรือรายการว่างเปล่า รูปแบบทั้งหมดจะสามารถเข้าถึงได้ใน Google Chrome
กำหนดค่าไดเรกทอรีที่ Google Chrome จะใช้ในการจัดเก็บไฟล์แคชลงในดิสก์
หากตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome จะใช้ไดเรกทอรีที่มีให้ไม่ว่าผู้ใช้ได้ระบุการตั้งค่าสถานะ "--disk-cache-dir" ไว้หรือไม่ก็ตาม
ดู https://www.chromium.org/administrators/policy-list-3/user-data-directory-variables สำหรับรายการตัวแปรที่สามารถใช้ได้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ไดเรกทอรีแคชเริ่มต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนทับค่าได้ด้วยค่าสถานะบรรทัดคำสั่ง "--disk-cache-dir"
กำหนดค่าขนาดของแคชที่ Google Chrome จะใช้สำหรับการเก็บไฟล์แคชบนดิสก์
หากคุณตั้งนโยบายนี้ Google Chrome จะใช้ขนาดของแคชที่ระบุไว้โดยไม่คำนึงว่าผู้ใช้ได้ระบุค่าสถานะ '--disk-cache-size' ไว้ไหม ค่าที่ระบุในนโยบายนี้ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นคำแนะนำสำหรับระบบการแคช ค่าใดก็ตามที่น้อยกว่าสองสามเมกะไบต์จะถือว่าน้อยเกินไปและจะปัดให้เป็นค่าต่ำสุดที่รับได้
หากค่าของนโยบายนี้คือ 0 จะมีการใช้ขนาดของแคชเริ่มต้นแต่ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนขนาดได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะมีการใช้ขนาดเริ่มต้นและผู้ใช้จะสามารถลบล้างด้วยธง --disk-cache-size
หากตั้งค่านโยบายนี้ จอแสดงผลแต่ละเครื่องจะ หมุนไปตามแนวที่กำหนดทุกครั้งที่เริ่มต้นระบบใหม่ และเมื่อเชื่อมต่อเป็นครั้งแรก หลังจากเปลี่ยนค่าของนโยบาย ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการหมุนหน้าจอ ผ่านหน้าการตั้งค่าหลังจากลงชื่อเข้าสู่ระบบ แต่ การตั้งค่าจะถูกเขียนทับด้วยค่านโยบายเมื่อเริ่มต้นระบบครั้งถัดไป
นโยบายนี้จะใช้กับจอแสดงผลหลักและจอแสดงผลรองทั้งหมด
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ ค่าเริ่มต้นคือ 0 องศา และผู้ใช้ สามารถเปลี่ยนค่าได้ตามต้องการ และในกรณีนี้ ระบบจะไม่นำค่าเริ่มต้นมาใช้ซ้ำ เมื่อรีสตาร์ท
เปิดใช้งานการคาดการณ์เครือข่ายใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
การตั้งค่านี้ไม่เพียงควบคุมการโหลด DNS ล่วงหน้า แต่ยังควบคุมการเชื่อมต่อ TCP และ SSL ล่วงหน้า และการแสดงผลหน้าเว็บล่วงหน้าด้วย ชื่อนโยบายอ้างอิงถึงการโหลด DNS ล่วงหน้าเพื่อจุดประสงค์ด้านประวัติ
หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ใน Google Chrome ได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะมีการเปิดใช้งานแต่ผู้ใช้จะสามารถทำการเปลี่ยนแปลงได้
กำหนดค่าไดเรกทอรีที่ Google Chrome จะใช้ในการดาวน์โหลดไฟล์
หากตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome จะใช้ไดเรกทอรีที่มีให้ ไม่ว่าผู้ใช้จะระบุหรือเปิดใช้งานการตั้งค่าสถานะให้แจ้งตำแหน่งการดาวน์โหลดทุกครั้งหรือไม่ก็ตาม
ดู http://www.chromium.org/administrators/policy-list-3/user-data-directory-variables สำหรับรายการตัวแปรที่สามารถใช้ได้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้ไดเรกทอรีการดาวน์โหลดเริ่มต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงค่าได้
อนุญาตให้ใช้ Smart Lock บนอุปกรณ์ Google Chrome OS
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้สามารถใช้ Smart Lock ได้หากปฏิบัติตามข้อกำหนดของคุณลักษณะนี้
หากปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถใช้ Smart Lock
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้ค่าเริ่มต้นสำหรับผู้ใช้ที่จัดการโดยองค์กร แต่จะอนุญาตสำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีการจัดการ
เปิดหรือปิดใช้งานการแก้ไขบุ๊กมาร์กใน Google Chrome หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ คุณจะสามารถเพิ่ม ลบ หรือแก้ไขบุ๊กมาร์กได้ นี่ยังเป็นค่าเริ่มต้นด้วยเมื่อไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ไว้ หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ คุณจะไม่สามารถเพิ่ม ลบ หรือแก้ไขบุ๊กมาร์กได้ ส่วนบุ๊กมาร์กที่มีอยู่ยังคงสามารถใช้ได้
เปิดใช้ขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ผ่านเว็บแบบเก่า
ก่อน Chrome 42 การตั้งค่านี้เคยมีชื่อว่า EnableWebBasedSignin ซึ่งจะมีการนำการสนับสนุนทั้งหมดออกใน Chrome 43
การตั้งค่านี้มีประโยชน์สำหรับลูกค้าแบบองค์กรที่ใช้โซลูชัน SSO ที่ยังใช้ร่วมกับขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ในหน้าแบบใหม่ไม่ได้ หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ ระบบจะใช้ขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ผ่านเว็บแบบเก่า หากปิดใช้การตั้งค่านี้หรือไม่ได้ตั้งค่า ระบบจะใช้ขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ในหน้าแบบใหม่เป็นค่าเริ่มต้น ผู้ใช้อาจยังเปิดใช้ขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ผ่านเว็บแบบเก่าได้โดยใช้สถานะบรรทัดคำสั่งต่อไปนี้ enable-web-based-signin
ในอนาคต จะมีการนำการตั้งค่าแบบทดลองนี้ออกเมื่อการลงชื่อเข้าใช้ในหน้าสนับสนุนขั้นตอนการลงชื่อเข้าใช้ SSO ทั้งหมดอย่างสมบูรณ์
ระบุรายชื่อคุณลักษณะของเว็บแพลตฟอร์มที่เลิกใช้แล้วเพื่อเปิดใช้ใหม่ชั่วคราว
นโยบายนี้จะทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถเปิดใช้คุณลักษณะของเว็บแพลตฟอร์มซึ่งเลิกใช้ไปแล้วได้ใหม่อีกครั้งครั้งในเวลาจำกัด คุณลักษณะเหล่านี้จะระบุโดยสตริงแท็ก ซึ่งคุณลักษณะที่สอดคล้องกับแท็กที่มีอยู่ในรายการที่นโยบายนี้กำหนดจะถูกเปิดใช้อีกครั้ง
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ ไม่มีข้อมูลในรายการ หรือไม่ตรงกับสตริงแท็กที่สนับสนุนใดๆ คุณลักษณะของเว็บแพลตฟอร์มที่เลิกใช้แล้วทั้งหมดจะยังถูกปิดใช้
แม้ตัวนโยบายจะได้รับการสนับสนุนบนแพลตฟอร์มข้างต้น แต่คุณลักษณะที่นโยบายเปิดใช้อาจใช้ได้บนแพลตฟอร์มไม่กี่แห่ง คุณลักษณะเว็บแพลตฟอร์มที่เลิกใช้แล้วบางรายการอาจไม่สามารถเปิดใช้ได้อีก เฉพาะคุณลักษณะที่ระบุไว้อย่างชัดเจนด้านล่างเท่านั้นที่สามารถเปิดใช้ได้อีกภายในช่วงเวลาจำกัด ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามคุณลักษณะ รูปแบบของสตริงแท็กทั่วไปคือ [DeprecatedFeatureName]_EffectiveUntil[yyyymmdd] ตามข้อมูลอ้างอิง คุณสามารถค้นหาเจตนาในการเปลี่ยนแปลงคุณลักษณะเว็บแพลตฟอร์มได้ที่ https://bit.ly/blinkintents
ด้วยข้อเท็จจริงที่การตรวจสอบการเพิกถอนออนไลน์แบบ Soft-fail ไม่มีประโยชน์ในด้านการรักษาความปลอดภัยอย่างชัดเจน จึงมีการปิดใช้ไว้โดยค่าเริ่มต้นใน Google Chrome เวอร์ชัน 19 และเวอร์ชันที่ใหม่กว่า หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True จะมีการนำลักษณะการทำงานก่อนหน้านี้มาใช้และการตรวจสอบ OCSP/CRL แบบออนไลน์จะมีการทำงาน
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้หรือตั้งเป็น False จะทำให้ Google Chrome ไม่ตรวจสอบการเพิกถอนแบบออนไลน์ใน Google Chrome 19 และเวอร์ชันที่ใหม่กว่า
ระบุรายการปลั๊กอินที่เปิดใช้งานใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้ คุณสามารถใช้อักขระของสัญลักษณ์แทน "*" และ "?" เพื่อจับคู่ลำดับอักขระที่กำหนดเอง "*" จะจับคู่กับจำนวนอักขระที่กำหนดเอง ส่วน "?" จะระบุอักขระเดี่ยวที่เป็นตัวเลือก เช่น การจับคู่กับเลข 0 หรืออักขระตัวหนึ่ง อักขระหลีก คือ "\" ดังนั้นหากต้องการจับคู่อักขระ "*", "?" หรือ "\" จริง คุณสามารถใส่ "\" ไว้หน้าอักขระเหล่านั้นได้ รายการปลั๊กอินที่ระบุจะถูกนำมาใช้ใน Google Chrome หากมีการติดตั้งไว้ ปลั๊กอินจะถูกทำเครื่องหมายเป็นเปิดใช้งานใน "about:plugins" และผู้ใช้ไม่สามารถปิดใช้งานปลั๊กอินเหล่านั้นได้ โปรดทราบว่านโยบายนี้จะแทนที่ทั้ง DisabledPlugins และ DisabledPluginsExceptions หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้สามารถปิดใช้งานปลั๊กอินใดๆ ที่ติดตั้งไว้ในระบบได้
การตั้งค่านี้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ Google Chrome เวอร์ชัน 29 วิธีที่แนะนำในการตั้งค่าคอลเล็กชันส่วนขยาย/แอปที่โฮสต์โดยองค์กรคือการรวมไซต์ที่โฮสต์แพ็กเกจ CRX ใน ExtensionInstallSources และการวางลิงก์ดาวน์โหลดโดยตรงไปยังแพ็กเกจบนหน้าเว็บ ตัวเรียกใช้งานสำหรับหน้าเว็บนั้นสามารถถูกสร้างขึ้นโดยใช้นโยบาย ExtensionInstallForcelist
การตั้งค่านี้ถูกยกเลิกไปตั้งแต่ Google Chrome เวอร์ชัน 29 วิธีที่แนะนำในการตั้งค่าคอลเล็กชันส่วนขยาย/แอปที่โฮสต์โดยองค์กรคือการรวมไซต์ที่โฮสต์แพ็กเกจ CRX ใน ExtensionInstallSources และการวางลิงก์ดาวน์โหลดโดยตรงไปยังแพ็กเกจบนหน้าเว็บ ตัวเรียกใช้งานสำหรับหน้าเว็บนั้นสามารถถูกสร้างขึ้นโดยใช้นโยบาย ExtensionInstallForcelist
Google Chrome OS จะแคชแอปและส่วนขยายที่มีการติดตั้งโดยผู้ใช้บนอุปกรณ์เครื่องเดียวกันหลายคน เพื่อหลีกเลี่ยงการดาวน์โหลดซ้ำจากผู้ใช้แต่ละคน หากไม่ได้กำหนดค่านโยบายนี้หรือค่าต่ำกว่า 1 MB Google Chrome OS จะใช้ขนาดแคชเริ่มต้น
ปิดใช้งานการต่อเชื่อมที่จัดเก็บข้อมูลภายนอก
เมื่อนโยยายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" จะไม่สามารถใช้งานที่จัดเก็บข้อมูลภายนอกในเบราว์เซอร์ของไฟล์ได้
นโยบายนี้มีผลกับสื่อการจัดเก็บข้อมูลทุกประเภท ตัวอย่างเช่น: แฟลชไดรฟ์ USB, ฮาร์ดไดรฟ์ภายนอก, SD และการ์ดหน่วยความจำอื่นๆ, ที่จัดเก็บข้อมูลออปติคอล ฯลฯ ที่จัดเก็บข้อมูลภายในจะไม่ได้รับผลกระทบ ดังนั้นไฟล์ที่บันทึกไว้ในโฟลเดอร์ "ดาวน์โหลด" จะยังสามารถเข้าถึงได้อยู่ และนโยบายนี้ก็ไม่ส่งผลต่อ Google ไดรฟ์ด้ัวยเช่นกัน
หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้จะสามารถใช้ที่จัดเก็บข้อมูลภายนอกที่สนับสนุนได้ทุกประเภทบนอุปกรณ์ของตน
หากตั้งค่าเป็นเปิดใช้งาน นโยบายนี้จะบังคับให้โปรไฟล์เปลี่ยนเป็นโหมดชั่วคราว หากมีการระบุนโยบายนี้เป็นนโยบายระบบปฏิบัติการ (เช่น GPO ใน Windows) นโยบายจะถูกใช้กับทุกโปรไฟล์ในระบบ หากนโยบายถูกตั้งเป็นนโยบายระบบคลาวด์ นโยบายจะถูกใช้กับโปรไฟล์ที่ลงชื่อเข้าใช้ด้วยบัญชีที่มีการจัดการเท่านั้น
ในโหมดนี้ ข้อมูลโปรไฟล์จะยังคงอยู่ในดิสก์เป็นเวลาเท่ากับเซสชันของผู้ใช้เท่านั้น คุณลักษณะต่างๆ อย่างเช่น ประวัติการเข้าชมของเบราว์เซอร์ ส่วนขยายและข้อมูลของส่วนขยาย ข้อมูลเว็บ เช่น คุกกี้และฐานข้อมูลเว็บจะไม่ถูกเก็บเอาไว้หลังจากปิดเบราว์เซอร์ แต่จะไม่เป็นการป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดข้อมูลใดๆ ลงสู่ดิสก์ด้วยตนเอง บันทึกหรือพิมพ์หน้าต่างๆ
หากผู้ใช้ได้เปิดใช้งานการซิงค์ ข้อมูลทั้งหมดนี้จะถูกเก็บไว้ในโปรไฟล์การซิงค์ของผู้ใช้เช่นเดียวกับโปรไฟล์ทั่วไป โหมดไม่ระบุตัวตนพร้อมใช้งานด้วยเช่นกันหากไม่ถูกปิดใช้งานอย่างชัดเจนโดยนโยบาย
หากตั้งนโยบายนี้เป็นปิดใช้งานหรือไม่มีการตั้งค่า การลงชื่อเข้าใช้จะนำไปสู่โปรไฟล์ทั่วไป
บังคับให้ทำการค้นหาใน Google ค้นเว็บด้วยค้นหาปลอดภัย และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากคุณเปิดการตั้งค่านี้ ค้นหาปลอดภัยใน Google Search จะทำงานตลอดเวลา
หากคุณปิดการตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่าไว้ ค้นหาปลอดภัยใน Google Search จะไม่ทำงาน
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True Google Chrome จะขยายหน้าต่างแรกที่แสดงเมื่อเรียกใช้ครั้งแรกอย่างไม่มีเงื่อนไข หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False หรือไม่มีการตั้งค่า การตัดสินใจว่าจะขยายหน้าต่างแรกที่แสดงหรือไม่จะขึ้นอยู่กับขนาดหน้าจอ
นโยบายนี้เลิกใช้แล้ว โปรดใช้ ForceGoogleSafeSearch และ ForceYouTubeSafetyMode แทน ระบบจะไม่สนใจนโยบายนี้หากมีการตั้งค่านโยบาย ForceGoogleSafeSearch หรือ ForceYouTubeSafetyMode ไว้
บังคับให้เปิดใช้การค้นหาปลอดภัยเมื่อค้นหาใน Google ค้นเว็บ และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้ การตั้งค่าดังกล่าวยังบังคับใช้โหมดปลอดภัยบน YouTube ด้วย
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ ค้นหาปลอดภัยใน Google Search และ YouTube จะทำงานเสมอ
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่า จะไม่มีการบังคับใช้ค้นหาปลอดภัยใน Google Search และ YouTube
บังคับให้ใช้งานโหมดปลอดภัยของ YouTube และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ โหมดปลอดภัยของ YouTube จะทำงานตลอดเวลา
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้หรือไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีการใช้โหมดปลอดภัยของ YouTube
อนุญาตโหมดเต็มหน้าจอ
นโยบายนี้จะควบคุมความพร้อมใช้งานของโหมดเต็มหน้าจอ ซึ่งระบบจะซ่อน UI ทั้งหมดของ Google Chrome ไว้และมองเห็นเฉพาะเนื้อหาเว็บเท่านั้น
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "จริง" หรือไม่ตั้งเลย ผู้ใช้ แอป และส่วนขยายที่มีสิทธิ์ที่เหมาะสมจะสามารถเข้าสู่โหมดเต็มหน้าจอได้
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "เท็จ" ทั้งผู้ใช้และแอป หรือส่วนขยายจะไม่สามารถเข้าสู่โหมดเต็มหน้าจอ
เมื่อปิดโหมดเต็มหน้าจอ จะไม่สามารถใช้งานโหมดคีออสก์ได้บนทุกแพลตฟอร์ม ยกเว้น Google Chrome OS
กำหนดค่าไดเรกทอรีที่ Google Chrome Frame จะใช้สำหรับจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้
หากตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome Frame จะใช้ไดเรกทอรีที่มีให้
ดู http://www.chromium.org/administrators/policy-list-3/user-data-directory-variables สำหรับรายการตัวแปรที่สามารถใช้ได้
หากไม่มีการตั้งค่านี้ ระบบจะใช้ไดเรกทอรีโปรไฟล์เริ่มต้น
ใช้การเร่งฮาร์ดแวร์เมื่อใช้ได้
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น True หรือไม่ได้ตั้งค่า การเร่งฮาร์ดแวร์จะเปิดใช้เว้นแต่ว่าคุณลักษณะ GPU จะอยู่ในบัญชีดำ
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น False การเร่งฮาร์ดแวร์จะถูกปิดใช้
ส่งฮาร์ตบีตตรวจสอบไปยังเซิร์ฟเวอร์การจัดการ เพื่ออนุญาตให้ เซิร์ฟเวอร์ตรวจดูว่าอุปกรณ์ออฟไลน์อยู่ไหม
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True ระบบจะส่งฮาร์ตบีตตรวจสอบ หากตั้งค่า เป็น False หรือไม่ตั้งค่า ระบบจะไม่ส่งฮาร์ตบีต
ความถี่ในการส่งฮาร์ตบีตตรวจสอบเป็นมิลลิวินาที
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบาย ความถี่เริ่มต้นคือ 3 นาที ส่วน ความถี่ต่ำสุดคือ 30 วินาที และความถี่สูงสุดคือ 24 ชั่วโมง ค่าที่ไม่อยู่ในช่วงดังกล่าวจะถูกจำกัดตามช่วงนี้
ซ่อนแอป Chrome เว็บสโตร์ และลิงก์ส่วนท้ายจากหน้าแท็บใหม่ และเครื่องเรียกใช้งานแอป Google Chrome OS
เมื่อนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น True จะมีการซ่อนไอคอนไป เมื่อนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น False หรือไม่มีการกำหนดค่า จะสามารถมองเห็นไอคอนได้
เมื่อตั้งค่าเป็น "จริง" การส่งเสริมสำหรับแอปพลิเคชัน Chrome เว็บสโตร์จะไม่ปรากฏบนหน้าแท็บใหม่ การตั้งค่าตัวเลือกนี้เป็น "เท็จ" หรือการปล่อยไว้แบบไม่ได้ตั้งค่าจะทำให้การส่งเสริมสำหรับแอปพลิเคชัน Chrome เว็บสโตร์ปรากฏบนหน้าแท็บใหม่
นโยบายนี้จะบังคับให้นำเข้าข้อมูลแบบฟอร์มที่ป้อนอัตโนมัติจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นก่อนหน้าหากเปิดใช้ และหากเปิดใช้ นโยบายนี้จะส่งผลต่อกล่องโต้ตอบการนำเข้าอีกด้วย
หากปิดใช้ จะไม่มีการนำเข้าข้อมูลแบบฟอร์มที่ป้อนอัตโนมัติ
หากไม่ได้ตั้งค่า ระบบอาจถามผู้ใช้ว่าจะนำเข้าข้อมูลดังกล่าวไหม หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นโยบายนี้บังคับให้นำเข้าบุ๊กมาร์กจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นปัจจุบันหากมีการเปิดใช้งาน หากเปิดใช้งาน นโยบายนี้ยังมีผลต่อข้อความโต้ตอบการนำเข้าด้วย หากปิดใช้งาน จะไม่มีการนำเข้าบุ๊กมาร์ก หากไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้อาจจะได้รับคำถามว่าจะนำเข้าหรือไม่ หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นโยบายนี้บังคับให้นำเข้าประวัติการเรียกดูจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นปัจจุบันหากเปิดใช้งาน หากเปิดใช้งาน นโยบายนี้ยังมีผลต่อข้อความโต้ตอบการนำเข้าอีกด้วย หากปิดใช้งาน จะไม่มีการนำเข้าประวัติการเรียกดู หากไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้อาจจะได้รับคำถามว่าจะนำเข้าหรือไม่ หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นโยบายนี้บังคับให้นำเข้าหน้าแรกจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นปัจจุบันหากมีการเปิดใช้งานไว้ แต่หากปิดใช้งานอยู่ จะไม่มีการนำเข้าหน้าแรก หากไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้อาจจะได้รับคำถามว่าจะนำเข้าหรือไม่ หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็ได้
นโยบายนี้บังคับให้นำเข้ารหัสผ่านที่บันทึกไว้จากเบราว์เซอร์เริ่มต้นก่อนหน้าหากเปิดใช้งาน หากเปิดใช้งาน นโยบายนี้ยังมีผลต่อข้อความโต้ตอบการนำเข้าอีกด้วย หากปิดใช้งาน จะไม่มีการนำเข้ารหัสผ่านที่บันทึกไว้ หากไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้อาจจะได้รับคำถามว่าจะนำเข้าหรือไม่ หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นโยบายนี้บังคับให้นำเข้าเครื่องมือค้นหาจากเบราว์เซอร์เริ่มต้นปัจจุบันหากมีการเปิดใช้งานอยู่ หากมีการเปิดใช้งาน นโยบายนี้จะมีผลต่อข้อความโต้ตอบการนำเข้าด้วย หากปิดใช้งาน จะไม่มีการนำเข้าเครื่องมือค้นหาเริ่มต้น หากไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้อาจได้รับคำถามว่าจะนำเข้าหรือไม่ หรือการนำเข้าอาจเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
นโยบายนี้เลิกใช้แล้ว โปรดใช้ IncognitoModeAvailability แทน เปิดใช้งานโหมดไม่ระบุตัวตนใน Google Chrome หากการตั้งค่านี้ถูกเปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถเปิดหน้าเว็บในโหมดไม่ระบุตัวตนได้ หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดหน้าเว็บในโหมดไม่ระบุตัวตน หากนโยบายนี้ไม่ได้มีการตั้งค่าไว้ จะมีการเปิดใช้งานและผู้ใช้จะสามารถใช้โหมดไม่ระบุตัวตนได้
กำหนดว่าผู้ใช้สามารถจะเปิดหน้าเว็บในโหมดไม่ระบุตัวตนใน Google Chrome ได้หรือไม่ หากเลือก "เปิดใช้งาน" หรือไม่ได้ตั้งค่านโยบายไว้ จะสามารถเปิดหน้าเว็บในโหมดไม่ระบุตัวตนได้ หากเลือก "ปิดใช้งาน" ผู้ใช้จะไม่สามารถเปิดหน้าเว็บในโหมดไม่ระบุตัวตนได้ หากเลือก "บังคับ" หน้าเว็บจะเปิดขึ้นได้ในโหมดไม่ระบุตัวตนเท่านั้น
เปิดใช้คุณลักษณะค้นหาทันใจของ Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ Google Chrome จะมีการเปิดใช้ "ค้นหาทันใจ"
หากคุณปิดใช้การตั้งค่านี้ Google Chrome จะมีการปิดใช้ "ค้นหาทันใจ"
หากคุณเปิดหรือปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้
หากไม่ได้กำหนดการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะสามารถตัดสินใจว่าจะใช้หรือไม่ใช้ฟังก์ชันนี้
การตั้งค่านี้ได้ถูกนำออกจาก Google Chrome 29 และเวอร์ชันที่สูงกว่าแล้ว
นโยบายนี้เลิกใช้งานไปแล้ว โปรดใช้ DefaultJavaScriptSetting แทน
สามารถใช้เพื่อปิดใช้งาน JavaScript ใน Google Chrome ได้
หากปิดใช้งานการตั้งค่านี้ หน้าเว็บจะไม่สามารถใช้ JavaScript และผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนการตั้งค่านั้นได้
หากเปิดใช้งานการตั้งค่านี้หรือไม่ได้ตั้งค่า หน้าเว็บจะสามารถใช้ JavaScript แต่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนการตั้งค่านั้นได้
มอบสิทธิ์การเข้าถึงคีย์ขององค์กรให้แก่ส่วนขยาย
คีย์ถูกกำหนดไว้สำหรับการใช้งานขององค์กรหากสร้างขึ้นโดยใช้ API chrome.enterprise.platformKeys บนบัญชีที่มีการจัดการ คีย์ที่นำเข้าหรือสร้างด้วยวิธีอื่นไม่ได้มีไว้สำหรับการใช้งานขององค์กร
การเข้าถึงคีย์ที่มีไว้สำหรับการใช้งานขององค์กรจะได้รับการควบคุมโดยนโยบายนี้เพียงอย่างเดียว ผู้ใช้ไม่สามารถมอบสิทธิ์เข้าถึงคีย์หรือเพิกถอนสิทธิ์จากส่วนขยาย
โดยค่าเริ่มต้นแล้ว ส่วนขยายจะไม่สามารถใช้คีย์ที่มีไว้สำหรับการใช้งานขององค์กร ซึ่งเทียบเท่ากับการตั้งค่า allowCorporateKeyUsage เป็น False สำหรับส่วนขยายดังกล่าว
หากตั้งค่า allowCorporateKeyUsage เป็น True สำหรับส่วนขยาย ส่วนขยายดังกล่าวจะสามารถใช้คีย์ของแพลตฟอร์มใดก็ตามที่มีการทำเครื่องหมายสำหรับการใช้งานขององค์กรเพื่อลงนามข้อมูลที่กำหนดเองได้ ควรมอบสิทธิ์นี้ให้แก่ส่วนขยายในกรณีที่ไว้วางใจได้ว่าส่วนขยายมีการป้องกันผู้โจมตีจากการเข้าถึงคีย์เท่านั้น
ส่งบันทึกของระบบไปยังเซิร์ฟเวอร์การจัดการเพื่ออนุญาต ให้ผู้ดูแลระบบตรวจสอบบันทึกของระบบ
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็น True บันทึกของระบบจะถูกส่งไป หากตั้งค่า เป็น False หรือไม่ได้ตั้งค่า จะไม่มีการส่งบันทึกของระบบ
Configures a list of managed bookmarks.
The policy consists of a list of bookmarks whereas each bookmark is a dictionary containing the keys "name" and "url" which hold the bookmark's name and its target. A subfolder may be configured by defining a bookmark without an "url" key but with an additional "children" key which itself contains a list of bookmarks as defined above (some of which may be folders again). Google Chrome amends incomplete URLs as if they were submitted via the Omnibox, for example "google.com" becomes "https://google.com/".
These bookmarks are placed in a "Managed bookmarks" folder that can't be modified by the user, but the user can choose to hide it from the bookmark bar. Managed bookmarks are not synced to the user account and can't be modified by extensions.
ระบุจำนวนสูงสุดของการเชื่อมต่อไปยังพร็อกซีเซิร์ฟเวอร์พร้อมกัน
พร็อกซีเซิร์ฟเวอร์บางตัวไม่สามารถจัดการกับการเชื่อมต่อพร้อมกันต่อหนึ่งไคลเอ็นต์ในจำนวนมากได้ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยตั้งค่านโยบายนี้ให้มีค่าที่ต่ำลง
ค่าของนโยบายนี้ควรจะต่ำกว่า 100 และสูงกว่า 6 และค่าเริ่มต้นเป็น 32
เป็นที่ทราบกันดีว่าแอปพลิเคชันเว็บบางตัวต้องใช้การเชื่อมต่อจำนวนมากเนื่องจากใช้ Hanging GET ดังนั้นการลดค่าให้ต่ำกว่า 32 อาจส่งผลให้การเชื่อมโยงเครือข่ายของเบราว์เซอร์ค้างได้หากเปิดแอปพลิเคชันเว็บเป็นจำนวนมากเกินไป การลดค่าให้ต่ำลงดังกล่าวจึงเป็นความเสี่ยงของคุณเอง
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ จะมีการใช้ค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ 32
ระบุความการหน่วงเวลาสูงสุดเป็นมิลลิวินาทีระหว่างการรับการลบล้างนโยบายและการเรียกนโยบายใหม่จากบริการจัดการอุปกรณ์
การตั้งค่านโยบายนี้จะแทนที่ค่าเริ่มต้นที่ 5000 มิลลิวินาที ค่าที่ถูกต้องสำหรับนโยบายนี้จะอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1000 (1 วินาที) ถึง 300000 (5 นาที) ค่าใดๆ ที่ไม่ได้อยู่ในช่วงนี้จะถูกบีบให้เข้าขอบเขตตามลำดับ
การละทิ้งนโยบายนี้ไม่ได้ถูกกำหนดจะทำให้ Google Chrome ใช้ค่าเริ่มต้นที่ 5000 มิลลิวินาที
กำหนดค่าขนาดของแคชที่ Google Chrome จะใช้สำหรับการเก็บไฟล์สื่อที่แคชบนดิสก์
หากคุณตั้งนโยบายนี้ Google Chrome จะใช้ขนาดของแคชที่ระบุไว้โดยไม่คำนึงว่าผู้ใช้ได้ระบุธง '--media-cache-size' ไว้หรือไม่ ค่าที่ระบุในนโยบายนี้ไม่ใช่ข้อบังคับ แต่เป็นคำแนะนำสำหรับระบบการแคช ค่าใดก็ตามที่ต่ำกว่าไม่กี่เมกะไบต์จะถือว่าเล็กเกินไปและจะปัดให้เป็นค่าต่ำสุดที่รับได้
หากค่าของนโยบายนี้คือ 0 จะมีการใช้ขนาดของแคชเริ่มต้นแต่ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนขนาดได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะมีการใช้ขนาดเริ่มต้นและผู้ใช้จะสามารถลบล้างด้วยค่าสถานะ --media-cache-size
เปิดใช้การรายงานแบบไม่ระบุชื่อของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานและข้อขัดข้องเกี่ยวกับ Google Chrome ให้แก่ Google และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากเปิดใช้การตั้งค่านี้ จะมีการส่งการรายงานข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานและ ข้อขัดข้องไปยัง Google แบบไม่ระบุชื่อ หากปิดใช้ จะไม่มีการส่งข้อมูลดังกล่าว ไปยัง Google ในทั้ง 2 กรณี ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือลบล้างการตั้งค่านี้ได้ หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ค่าจะยังคงเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เลือกไว้ตอน ติดตั้ง/เรียกใช้ครั้งแรก
นโยบายนี้ไม่พร้อมใช้งานในอินสแตนซ์ Windows ที่ไม่ได้เข้าร่วม โดเมน Active Directory (สำหรับ Chrome OS โปรดดู DeviceMetricsReportingEnabled)
เปิดใช้การคาดการณ์เครือข่ายใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
วิธีนี้จะควบคุมการโหลด DNS ล่วงหน้า, การเชื่อมต่อ TCP และ SSL ล่วงหน้า และการแสดงผลหน้าเว็บล่วงหน้า
หากคุณตั้งค่ากำหนดนี้เป็น "เสมอ", "ไม่เลย" หรือ "Wi-Fi เท่านั้น" ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่านี้ใน Google Chrome
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ไว้ การคาดการณ์เครือข่ายจะถูกเปิดใช้ แต่ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าได้
อนุญาตให้ใช้การกำหนดค่าเครือข่ายแบบพุชสำหรับผู้ใช้แต่ละคนของอุปกรณ์ Google Chrome OS การกำหนดค่าอุปกรณ์จะเป็นสตริงรูปแบบ JSON ตามที่กำหนดโดยรูปแบบการกำหนดค่าเครือข่ายแบบเปิดซึ่งอธิบายไว้ที่ https://sites.google.com/a/chromium.org/dev/chromium-os/chromiumos-design-docs/open-network-configuration
แสดงรายการตัวระบุแอปพิเคชันที่ Google Chrome OS แสดงเป็นแอปพลิเคชันที่ตรึงในแถบตัวเรียกใช้งาน
หากมีการกำหนดค่านโยบายนี้เอาไว้ ชุดแอปพลิเคชันจะถูกกำหนดตายตัวและผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้เอาไว้ ผู้ใช้อาจสามารถเปลี่ยนแปลงรายการของแอปพลิเคัชที่ตรึงในตัวเรียกใช้งาน
ระบุระยะเวลาเป็นหน่วยมิลลิวินาทีสำหรับการสอบถามบริการจัดการอุปกรณ์เกี่ยวกับข้อมูลนโยบายผู้ใช้
การตั้งค่านโยบายนี้จะลบล้างค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง ค่าที่ใช้ได้สำหรับนโยบายนี้ต้องอยู่ในช่วงตั้งแต่ 1800000 (30 นาที) ถึง 86400000 (1 วัน) ค่าใดๆ ที่ไม่อยู่ในช่วงนี้จะถูกปรับไปเป็นค่าที่ขอบที่เหมาะสมกับค่านั้น
การปล่อยนโยบายนี้ไว้โดยไม่กำหนดค่าจะทำให้ Google Chrome ใช้ค่าเริ่มต้นซึ่งก็คือ 3 ชั่วโมง
ช่วยให้สามารถพิมพ์ใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากมีการเปิดการตั้งค่านี้หรือไม่ได้กำหนดค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถพิมพ์ได้
หากปิดการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถพิมพ์จาก Google Chrome การพิมพ์จะถูกปิดใช้งานไว้ในเมนูเครื่องมือ ส่วนขยาย แอปพลิเคชัน JavaScript เป็นต้น แต่คุณสามารถพิมพ์จากปลั๊กอินที่ข้าม Google Chrome ขณะพิมพ์ได้ ตัวอย่างเช่น แอปพลิเคชัน Flash บางรายการมีตัวเลือกการพิมพ์ในเมนูตามบริบท ซึ่งนโยบายนี้ไม่ได้ครอบคลุม
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True หรือไม่ได้ตั้งค่า ระบบจะอนุญาตให้ใช้โปรโตคอล QUIC ใน Google Chrome หากตั้งค่านโยบายเป็น False ระบบจะไม่อนุญาตให้ใช้โปรโตคอล QUIC
คำเตือน: ระบบจะนำ RC4 ออกจาก Google Chrome โดยสมบูรณ์หลังจากเวอร์ชัน 52 (ประมาณเดือนกันยายน 2016) จากนั้นนโยบายนี้จะหยุดทำงาน
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้หรือตั้งค่าเป็น False จะทำให้ไม่มีการเปิดใช้ชุดการเข้ารหัสของ RC4 ใน TLS มิเช่นนั้น อาจตั้งค่าเป็น True เพื่อรักษาความเข้ากันได้กับเซิร์ฟเวอร์ที่ล้าสมัย ซึ่งการดำเนินการนี้เป็นเพียงมาตรการชั่วคราวและควรกำหนดค่าเซิร์ฟเวอร์อีกครั้ง
กำหนดเวลาการรีบูตอัตโนมัติหลังจากมีการใช้การอัปเดตของ Google Chrome OS
เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "จริง" การรีบูตอัตโนมัติจะถูกกำหนดเวลาเมื่อมีการใช้การอัปเดตของ Google Chrome OS และจำเป็นต้องมีการรีบูตเพื่อดำเนินการขั้นตอนการอัปเดตให้เสร็จสมบูรณ์ การรีบูตถูกกำหนดเวลาไว้ทันที แต่อาจมีความล่าช้าบนอุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 24 ชั่วโมงหากในขณะนั้นมีผู้ใช้ใช้อุปกรณ์อยู่
........เมื่อนโยบายนี้ถูกตั้งค่าเป็น "เท็จ" จะไม่มีการกำหนดเวลาการรีบูตอัตโนมัติหลังจากใช้การอัปเดตของ Google Chrome OS ขั้นตอนการอัปเดตจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อผู้ใช้รีบูตอุปกรณ์ในครั้งถัดไป
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างได้
หมายเหตุ: ปัจจุบันนี้ การรีบูตอัตโนมัติจะเปิดใช้งานเฉพาะในขณะที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบกำลังแสดงหรือเซสชันแอปคีออสก์กำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และนโยบายจะบังคับใช้อยู่เสมอ โดยไม่คำนึงว่าจะมีเซสชันประเภทใดๆ กำลังดำเนินการอยู่หรือไม่
รายงานเวลากิจกรรมของอุปกรณ์
หากไม่มีการตั้งค่านี้หรือตั้งค่าเป็น True อุปกรณ์ที่ลงทะเบียนจะรายงานระยะเวลาที่ผู้ใช้มีการใช้งานบนอุปกรณ์ หากตั้งค่าเป็น False จะไม่มีการบันทึกหรือรายงานเวลากิจกรรมของอุปกรณ์
รายงานสถานะของสวิตช์นักพัฒนาซอฟต์แวร์ของอุปกรณ์เมื่อบูตเครื่อง
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False จะไม่มีการรายงานสถานะของสวิตช์นักพัฒนาซอฟต์แวร์
รายงานสถิติฮาร์ดแวร์ เช่น การใช้ CPU/RAM
หากตั้งค่านโยบายเป็น False จะไม่มีการรายงานสถิติ หากตั้งค่าเป็น True หรือไม่ตั้งค่า จะมีการรายงานสถิติ
รายงานรายการอินเทอร์เฟซเครือข่ายพร้อมด้วยประเภทและที่อยู่ฮาร์ดแวร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์
หากตั้งนโยบายเป็น False จะไม่มีการรายงานรายการอินเทอร์เฟซ
รายงานข้อมูลเกี่ยวกับเซสชันคีออสก์ที่ใช้งาน เช่น รหัสและเวอร์ชันของแอปพลิเคชัน
หากตั้งค่านโยบายเป็น False จะไม่มีการรายงานข้อมูลเซสชัน หากตั้งค่าเป็น True หรือไม่ได้ตั้งค่า จะมีการรายงานข้อมูล เซสชัน
รายงานรายชื่อผู้ใช้อุปกรณ์ที่เข้าสู่ระบบเมื่อเร็วๆ นี้
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False จะไม่มีการรายงานผู้ใช้
รายงานระบบปฏิบัติการและเวอร์ชันของเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์ที่ลงทะเบียน
หากไม่มีการตั้งค่าหรือตั้งค่าเป็น True อุปกรณ์ที่ลงทะเบียนจะรายงานระบบปฏิบัติการและเวอร์ชันของเฟิร์มแวร์ของอุปกรณ์เป็นระยะๆ หากตั้งค่าเป็น False จะไม่มีการรายงานข้อมูลเวอร์ชัน
ความถี่ในการส่งการอัปโหลดสถานะของอุปกรณ์ หน่วยเป็นมิลลิวินาที
หากไม่ตั้งค่านโยบายนี้ ความถี่เริ่มต้นคือ 3 ชั่วโมง ค่าความถี่ต่ำสุด ที่อนุญาตคือ 60 วินาที
เมื่อเปิดใช้การตั้งค่านี้ Google Chrome จะตรวจสอบการเพิกถอนใบรับรองเซิร์ฟเวอร์ที่ผ่านการตรวจสอบและรับรองโดยใบรับรอง CA ที่ติดตั้งในตัวเครื่องอยู่เสมอ
หาก Google Chrome ไม่สามารถรับข้อมูลสถานะการเพิกถอน จะถือว่าใบรับรองดังกล่าวถูกเพิกถอน ("hard-fail")
หากไม่ได้กำหนดนโยบายนี้ หรือกำหนดเป็น False Google Chrome จะใช้การตั้งค่าการตรวจสอบการเพิกถอนทางออนไลน์ที่มีอยู่
มีนิพจน์ทั่วไปซึ่งใช้ในการระบุว่าผู้ใช้ใดที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome
ข้อผิดพลาดที่เหมาะสมจะแสดงขึ้นหากผู้ใช้พยายามลงชื่อเข้าใช้ด้วยชื่อผู้ใช้ที่ไม่ตรงกับรูปแบบนี้
หากนโยบายนี้ไม่ได้รับการตั้งค่าหรือถูกปล่อยว่างไว้ ผู้ใช้ทุกคนจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome
จำกัดเวลาที่ผู้ใช้ซึ่งตรวจสอบสิทธิ์ผ่าน SAML สามารถลงชื่อเข้าสู่ระบบในแบบออฟไลน์
ในระหว่างการเข้าสู่ระบบ Google Chrome OS สามารถตรวจสอบสิทธิ์กับเซิร์ฟเวอร์ (แบบออนไลน์) หรือใช้รหัสผ่านในแคช (แบบออฟไลน์)
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้เป็น -1 ผู้ใช้สามารถตรวจสอบสิทธิ์แบบออฟไลน์ได้ตลอดเวลา เมื่อตั้งค่านโยบายนี้เป็นค่าอื่น จะเป็นการระบุช่วงเวลานับตั้งแต่การตรวจสอบสิทธิ์ออนไลน์ครั้งสุดท้าย โดยผู้ใช้ต้องใช้การตรวจสอบสิทธิ์ออนไลน์อีกครั้งหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome OS จะใช้ขีดจำกัดเวลา 14 วันเป็นค่าเริ่มต้น โดยผู้ใช้ต้องใช้การตรวจสอบสิทธิ์ออนไลน์อีกครั้งหลังจากช่วงเวลาดังกล่าว
นโยบายนี้จะมีผลเฉพาะต่อผู้ใช้ที่ตรวจสอบสิทธิ์โดยใช้ SAML
ค่านโยบายต้องมีหน่วยเป็นวินาที
Chrome จะแสดงหน้าคำเตือนเมื่อผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีข้อผิดพลาด SSL ทั้งนี้โดยค่าเริ่มต้นหรือเมื่อตั้งค่านโยบายเป็น True ผู้ใช้สามารถคลิกผ่านหน้าคำเตือนเหล่านี้ได้ การตั้งค่านโยบายนี้เป็น False จะไม่อนุญาตให้ผู้ใช้คลิกผ่านหน้าคำเตือนใดๆ
คำเตือน: การสำรอง TLS เวอร์ชัน 1.0 จะถูกนำออกจาก Google Chrome หลังจากเวอร์ชัน 47 (ประมาณเดือนมกราคม 2016) และตัวเลือก "tls1" จะหยุดทำงานเมื่อนั้น
เมื่อการทำงานของ TLS ล้มเหลว Google Chrome จะลองเชื่อมต่อใหม่กับ TLS เวอร์ชันต่ำกว่าเพื่อแก้ปัญหาชั่วคราวให้ข้อบกพร่องใน HTTPS การตั้งค่านี้จะกำหนดค่าเวอร์ชันที่ขั้นตอนสำรองจะหยุดทำงาน หากเซิร์ฟเวอร์ต่อรองเวอร์ชันอย่างถูกต้อง (โดยไม่ขาดการเชื่อมต่อ) การตั้งค่านี้ก็จะไม่นำไปใช้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การเชื่อมต่อที่ได้มายังจะต้องสอดคล้องกับ SSLVersionMin
หากไม่มีการกำหนดค่านโยบายนี้ Google Chrome จะใช้เวอร์ชันต่ำสุดเริ่มต้น ซึ่งก็คือ TLS 1.0 ใน Google Chrome 44 และ TLS 1.1 ในเวอร์ชันต่อๆ มา โปรดทราบว่าการดำเนินการเช่นนี้ไม่ได้ปิดใช้การสนับสนุนสำหรับ TLS 1.0 เฉพาะว่า Google Chrome จะแก้ปัญหาเซิร์ฟเวอร์ที่มีข้อบกพร่องเป็นการชั่วคราวซึ่งต่อรองเวอร์ชันอย่างถูกต้องไม่ได้
มิเช่นนั้น อาจถูกตั้งค่าเป็นค่าต่อไปนี้: "tls1", "tls1.1" หรือ "tls1.2" หากต้องรักษาความเข้ากันได้กับเซิร์ฟเวอร์ที่มีข้อบกพร่อง จะต้องตั้งค่าเป็น "tls1" นี่เป็นมาตรการชั่วคราวและเซิร์ฟเวอร์น่าจะได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว
การตั้งค่าเป็น "tls1.2" จะปิดใช้การสำรองทั้งหมด แต่อาจมีผลกระทบต่อความเข้ากันได้เป็นอย่างมาก
คำเตือน: การสนับสนุน SSLv3 จะถูกนำออกจาก Google Chrome ทั้งหมดหลังจากเวอร์ชัน 43 (ประมาณเดือนกรกฎาคม 2015) และนโยบายนี้จะถูกนำออกไปพร้อมกันด้วย
หากไม่ได้กำหนดค่านโยบายนี้ Google Chrome จะใช้เวอร์ชันขั้นต่ำที่เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งก็คือ SSLv3 ใน Google Chrome 39 และ TLS 1.0 ในเวอร์ชันถัดไป
หรือถ้ากำหนดค่านโยบาย อาจกำหนดเป็นค่าใดค่าหนึ่งต่อไปนี้ "sslv3", "tls1", "tls1.1" หรือ "tls1.2" เมื่อกำหนดแล้ว Google Chrome จะไม่ใช้ SSL/TLS ในเวอร์ชันต่ำกว่าที่กำหนด และจะเพิกเฉยต่อค่าที่ระบบไม่รู้จัก
โปรดทราบว่า "sslv3" เป็นเวอร์ชันที่เก่ากว่า "tls1" แม้ตัวเลขจะมากกว่า
เปิดใช้งานคุณลักษณะ Google Safe Browsing ของ Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Safe Browsing จะใช้งานอยู่เสมอ
หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Safe Browsing จะไม่มีการใช้งาน
หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่า "เปิดใช้งานการป้องกันฟิชชิงและมัลแวร์" ใน Google Chrome
หากนโยบายนี้ไม่ได้ตั้งค่า การดำเนินการนี้จะเปิดใช้งาน แต่ผู้ใช้จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้
การตั้งค่านโยบายนี้เป็น False จะทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถเลือกการส่งข้อมูลเกี่ยวกับข้อผิดพลาดด้านความปลอดภัยที่พวกเขาได้รับจากเซิร์ฟเวอร์ Google หากการตั้งค่านี้เป็น True หรือไม่ได้กำหนดค่า ผู้ใช้จะสามารถส่งข้อมูลได้เมื่อพบข้อผิดพลาด SSL หรือคำเตือน Safe Browsing
ปิดใช้งานการบันทึกประวัติเบราว์เซอร์ใน Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้
หากการตั้งค่านี้ถูกเปิดใช้งาน ประวัติการเรียกดูจะไม่ได้รับการบันทึก การตั้งค่านี้ยังปิดการซิงค์แท็บอีกด้วย
หากการตั้งค่านี้ถูกปิดใช้หรือไม่ได้กำหนดค่า จะมีการบันทึกประวัติการเรียก
เปิดใช้งานคำแนะนำการค้นหาในแถบอเนกประสงค์ของ Google Chrome และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนแปลงการตั้งค่านี้
หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ จะมีการใช้คำแนะนำการค้นหา
หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ จะไม่มีการใช้คำแนะนำการค้นหา
หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome
หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ จะมีการเปิดใช้งานแต่ผู้ใช้สามารถจะเปลี่ยนแปลงได้
จำกัดระยะเวลาสูงสุดของเซสชันผู้ใช้
เมื่อตั้งค่านโยบายนี้ จะมีการระบุระยะเวลาสิ้นสุดเซสชันหลังจากที่ผู้ใช้ออกจากระบบโดยอัตโนมัติ ผู้ใช้จะได้รับแจ้งเวลาที่เหลือด้วยนาฬิกาจับเวลาถอยหลังที่แสดงในถาดระบบ
เมื่อไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีการจำกัดระยะเวลาของเซสชัน
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่ได้
ควรระบุค่าของนโยบายเป็นมิลลิวินาที โดยจำกัดช่วงของค่าอยู่ที่ 30 วินาทีถึง 24 ชั่วโมง
กำหนดภาษาที่แนะนำอย่างน้อย 1 ภาษาสำหรับการเข้าชมแบบสาธารณะ และอนุญาตให้ผู้ใช้เลือกภาษาหนึ่งในนั้นได้อย่างง่ายดาย
ผู้ใช้สามารถเลือกภาษาและรูปแบบแป้นพิมพ์ก่อนเริ่มใช้การเข้าชมแบบสาธารณะ โดยค่าเริ่มต้น ทุกภาษาที่ Google Chrome OS สนับสนุนจะแสดงตามลำดับตัวอักษร คุณสามารถใช้นโยบายนี้เพื่อย้ายชุดภาษาที่แนะนำไปที่ด้านบนของรายการ
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ภาษาของ UI ในปัจจุบันจะมีการเลือกไว้ล่วงหน้า
หากมีการตั้งค่านโยบายนี้ไว้แล้ว จะมีการย้ายภาษาที่แนะนำไปที่ด้านบนของรายการและจะแยกจากภาษาอื่นๆ ทั้งหมด โดยภาษาที่แนะนำจะแสดงตามลำดับที่ปรากฏในนโยบาย โดยภาษาที่มีการแนะนำเป็นลำดับแรกจะมีการเลือกไว้ล่วงหน้า
หากมีภาษาที่แนะนำมากกว่า 1 ภาษา ระบบจะถือว่าผู้ใช้ต้องการที่จะเลือกภาษาเหล่านั้น การเลือกภาษาและรูปแบบแป้นพิมพ์จะมีการนำเสนออย่างเด่นชัดเมื่อเริ่มเข้าสู่การเข้าชมแบบสาธารณะ ในทางกลับกัน ระบบจะถือว่าผู้ใช้โดยส่วนใหญ่ต้องการใช้ภาษาที่เลือกไว้ล่วงหน้า การเลือกรูปแบบแป้นพิมพ์และภาษาจะมีการนำเสนอที่เด่นชัดน้อยกว่าเมื่อเริ่มใช้การเข้าชมแบบสาธารณะ
เมื่อตั้งค่านโยบายและเปิดใช้การเข้าสู่ระบบอัตโนมัติแล้ว (ดูนโยบาย |DeviceLocalAccountAutoLoginId| และ |DeviceLocalAccountAutoLoginDelay|) การเข้าชมแบบสาธารณะที่เริ่มโดยอัตโนมัติจะใช้ภาษาที่แนะนำเป็นลำดับแรกและใช้รูปแบบแป้นพิมพ์ที่นิยมกันมากที่สุดซึ่งเข้ากันกับภาษานี้
รูปแบบแป้นพิมพ์ที่เลือกไว้ล่วงหน้าจะเป็นรูปแบบที่นิยมกันมากที่สุดเสมอ ซึ่งจะตรงกับภาษาที่เลือกไว้ล่วงหน้า
นโยบายนี้สามารถตั้งค่าตามที่แนะนำเท่านั้น คุณสามารถใช้นโยบายนี้ในการย้ายชุดภาษาที่แนะนำไปที่ด้านบนสุด แต่ผู้ใช้จะสามารถเลือกภาษาใดก็ได้ที่ Google Chrome OS สนับสนุนสำหรับการเข้าชมของตนได้เสมอ
ควบคุมการซ่อนอัตโนมัติสำหรับชั้นวางของ Google Chrome OS
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "AlwaysAutoHideShelf" ชั้นวางจะซ่อนอัตโนมัติทุกครั้ง
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น "NeverAutoHideShelf" ชั้นวางจะไม่ซ่อนอัตโนมัติเลย
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่ได้
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะซ่อนชั้นวางอัตโนมัติหรือไม่
เปิดหรือปิดใช้ทางลัดของแอปในแถบบุ๊กมาร์ก
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้สามารถเลือกแสดงหรือซ่อนทางลัดของแอปจากเมนูบริบทของแถบบุ๊กมาร์ก
หากมีการกำหนดค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และทางลัดของแอปจะแสดงเสมอหรือไม่แสดงเลย
แสดงปุ่มหน้าแรกบนแถบเครื่องมือของ Google Chrome หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ปุ่มหน้าแรกจะปรากฏเสมอ หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ปุ่มหน้าแรกจะไม่แสดง หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome การปล่อยให้นโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าจะทำให้ผู้ใช้สามารถเลือกว่าจะแสดงปุ่มหน้าแรกหรือไม่
เพิ่มปุ่มออกจากระบบลงในถาดระบบ
หากเปิดใช้งาน ปุ่มออกจากระบบสีแดงขนาดใหญ่จะแสดงในถาดระบบในขณะที่ใช้งานเซสชันอยู่และไม่ได้ล็อกหน้าจอ
หากปิดใช้งานหรือไม่ได้ระบุ ปุ่มออกจากระบบสีแดงขนาดใหญ่จะไม่แสดงขึ้นในถาดระบบ
นโยบายนี้เลิกใช้งานแล้ว ลองพิจารณาใช้ SyncDisabled แทน
อนุญาตให้ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ คุณสามารถกำหนดค่าว่าจะอนุญาตให้ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้ Google Chrome ไหม การตั้งค่านโยบายนี้เป็น "False" จะเป็นการป้องกันแอปและส่วนขยายที่ใช้ chrome.identity API ไม่ให้ทำงาน ดังนั้น คุณอาจต้องการใช้ SyncDisabled แทน
Google Chrome สามารถใช้บริการเว็บของ Google เพื่อช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดในการสะกดผิด หากเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ไว้ บริการนี้จะถูกใช้อยู่เสมอ หากปิดใช้งานการตั้งค่า บริการนี้จะไม่ถูกใช้เลย
การตรวจสอบการสะกดยังสามารถทำงานได้โดยใช้พจนานุกรมที่ดาวน์โหลดมา แต่นโยบายนี้จะควบคุมเฉพาะการใช้งานบริการออนไลน์เท่านั้น
หากการตั้งค่านี้ไม่ได้กำหนดค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถเลือกว่าจะใช้บริการตรวจสอบการสะกดหรือไม่
ระงับการแจ้งเรื่องการปฏิเสธ ซึ่งจะปรากฏขึ้นเมื่อไซต์แสดงผลโดย Google Chrome Frame
Suppresses the warning that appears when Google Chrome is running on a computer or operating system that is no longer supported.
ปิดใช้งานการซิงค์ข้อมูลใน Google Chrome โดยใช้บริการการซิงค์ข้อมูลของ Google และป้องกันไม่ให้ผู้ใช้เปลี่ยนการตั้งค่านี้ หากคุณเปิดใช้การตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ใน Google Chrome หากนโยบายนี้ไม่มีการตั้งค่าไว้ ผู้ใช้จะสามารถใช้ Google Sync ในการเลือกว่าจะใช้หรือไม่
กำหนดเขตเวลาที่จะใช้กับอุปกรณ์ ผู้ใช้สามารถเขียนทับเขตเวลาที่กำหนดไว้สำหรับเซสชันปัจจุบันได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อออกจากระบบ ค่าดังกล่าวจะเปลี่ยนกลับเป็นเขตเวลาที่กำหนดไว้ หากระบุค่าที่ไม่ถูกต้องไว้ นโยบายนี้จะยังทำงานโดยใช้ค่า "GMT" แทน หากระบุสตริงเปล่าไว้ นโยบายนี้จะไม่มีผล
หากไม่ใช้นโยบายนี้ ระบบจะยังใช้เขตเวลาที่ใช้งานในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนเขตเวลา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะเป็นแบบถาวร ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงโดยผู้ใช้คนหนึ่งจะมีผลใช้งานกับหน้าจอการเข้าสู่ระบบและผู้ใช้คนอื่นๆ ทั้งหมด
อุปกรณ์ใหม่จะเริ่มต้นทำงานโดยใช้เขตเวลาที่ตั้งค่าเป็น "สหรัฐอเมริกา/แปซิฟิก"
ค่ามีรูปแบบตามชื่อของเขตเวลาใน "ฐานข้อมูลเขตเวลา IANA" (ดู "https://en.wikipedia.org/wiki/Tz_database") กล่าวอย่างเจาะจงคือ เขตเวลาโดยส่วนใหญ่สามารถอ้างอิงด้วย "continent/large_city" หรือ "ocean/large_city"
ระบุรูปแบบนาฬิกาที่จะใช้สำหรับอุปกรณ์นี้
นโยบายนี้กำหนดค่ารูปแบบนาฬิกาที่จะใช้บนหน้าจอการเข้าสู่ระบบ และใช้เป็นค่าเริ่มต้นสำหรับเซสชันผู้ใช้ ผู้ใช้ยังสามารถแทนที่รูปแบบนาฬิกาสำหรับบัญชีของตนได้อยู่
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True อุปกรณ์จะใช้รูปแบบนาฬิกา 24 ชั่วโมง หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False อุปกรณ์จะใช้รูปแบบนาฬิกา 12 ชั่วโมง หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ อุปกรณ์จะมีค่าเริ่มต้นเป็นรูปแบบนาฬิกา 24 ชั่วโมง
ตั้งข้อกำหนดในการให้บริการที่ผู้ใช้ต้องยอมรับก่อนเริ่มเซสชันบัญชีภายในอุปกรณ์
หากนโนบายนี้ถูกตั้งค่า Google Chrome OS จะดาวน์โหลดข้อกำหนดในการให้บริการและแสดงต่อผู้ใช้เมื่อใดก็ตามที่กำลังจะเริ่มเซสชันบัญชีภายในอุปกรณ์ ผู้ใช้จะได้รับอนุญาตให้เข้าเซสชันได้หลังจากที่ยอมรับข้อกำหนดในการให้บริการแล้วเท่านั้น
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีการแสดงข้อกำหนดในการให้บริการ
นโยบายควรที่จะถูกติดตั้งลงใน URL ที่ Google Chrome OS สามารถดาวน์โหลดข้อกำหนดในการให้บริการได้ โดยข้อกำหนดในการให้บริการจะต้องเป็นข้อความล้วน ซึ่งทำงานเป็นข้อความ/ล้วนชนิด MIME ไม่อนุญาตให้ใช้มาร์กอัป
นโยบายนี้กำหนดค่าการเปิดใช้แป้นพิมพ์เสมือนเป็นอุปกรณ์ป้อนข้อมูลใน ChromeOS ผู้ใช้ไม่สามารถแทนที่นโยบายนี้ได้
หากมีการตั้งค่านโยบายนี้เป็น True แป้นพิมพ์เสมือนบนหน้าจอจะเปิดใช้อยู่เสมอ
หากตั้งค่าเป็น False แป้นพิมพ์เสมือนบนหน้าจอจะปิดใช้อยู่เสมอ
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่นโยบายได้ แต่ผู้ใช้จะยังสามารถเปิด/ปิดใช้แป้นพิมพ์บนหน้าจอสำหรับการเข้าถึง ซึ่งสำคัญกว่าแป้นพิมพ์เสมือนที่นโยบายนี้ควบคุมอยู่ โปรดดูนโยบาย |VirtualKeyboardEnabled| สำหรับการควบคุมแป้นพิมพ์บนหน้าจอสำหรับการเข้าถึง
หากปล่อยนโยบายนี้ไว้โดยไม่มีการตั้งค่า แป้นพิมพ์บนหน้าจอจะถูกปิดใช้ในเบื้องต้น แต่ผู้ใช้สามารถเปิดใช้ได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ยังอาจใช้กฎที่ช่วยแก้ปัญหาเพื่อตัดสินว่าจะแสดงแป้นพิมพ์เมื่อใดได้ด้วย
เปิดใช้งานบริการ Google แปลภาษาที่อยู่ใน Google Chrome หากคุณเปิดใช้งานการตั้งค่านี้ Google Chrome จะแสดงแถบเครื่องมือที่นำเสนอการแปลหน้าเว็บสำหรับผู้ใช้ตามความเหมาะสม หากคุณปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่เห็นแถบการแปล หากคุณเปิดหรือปิดใช้งานการตั้งค่านี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือแทนที่การตั้งค่านี้ได้ใน Google Chrome หากการตั้งค่านี้ไม่มีการกำหนดไว้ ผู้ใช้สามารถตัดสินใจได้ว่าจะใช้ฟังก์ชันนี้หรือไม่
บล็อกการเข้าถึง URL ที่แสดงอยู่
นโยบายนี้ป้องกันไม่ให้ผู้ใช้โหลดหน้าเว็บจาก URL ที่อยู่ในบัญชีดำ โดยบัญชีดำจะมีรายการของรูปแบบ URL ที่กำหนดว่า URL ใดควรอยู่ในบัญชีดำ
รูปแบบ URL แต่ละรายการอาจเป็นได้ทั้งไฟล์ในเครื่องหรือรูปแบบ URL ทั่วไป ไฟล์ในเครื่องอาจอยู่ในรูปแบบของ "file://path" โดย path ควรเป็นเส้นทางที่ถูกบล็อก ตำแหน่งของระบบไฟล์ทั้งหมดที่มีเส้นทางนี้นำหน้าก็จะถูกบล็อกเช่นกัน
URL ทั่วไปจะมีรูปแบบ "scheme://host:port/path" หากมี URL ดังกล่าว ระบบจะบล็อกเฉพาะ scheme ที่ระบุเท่านั้น หากไม่มีการระบุ scheme:// ที่ด้านหน้า ระบบจะบล็อก scheme ทั้งหมด ต้องระบุโฮสต์ โดยอาจเป็นชื่อโฮสต์หรือที่อยู่ IP โดเมนย่อยของชื่อโฮสต์ก็จะถูกบล็อกด้วย หากไม่ต้องการให้โดเมนย่อยถูกบล็อก ให้ใส่เครื่องหมาย "." หน้าชื่อโฮสต์ ชื่อโฮสต์พิเศษ "*" จะบล็อกโดเมนทั้งหมด พอร์ตสำรองคือพอร์ตที่ใช้ได้ตั้งแต่หมายเลข 1 ถึง 65535 หากไม่ได้ระบุ ระบบจะบล็อกพอร์ตทั้งหมด หากมีการระบุเส้นทางสำรอง ระบบจะบล็อกเฉพาะเส้นทางที่มีคำนำหน้าดังกล่าว
คุณสามารถกำหนดข้อยกเว้นในนโยบายรายการ URL ที่อนุญาตพิเศษได้ โดยจำกัดจำนวนนโยบายสูงสุดไม่เกิน 1000 รายการ โดยระบบจะไม่สนใจรายการหลังจากนั้น
โปรดทราบว่าเราไม่แนะนำให้คุณบล็อก URL ภายใน "chrome://*" เนื่องจากอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดที่ไม่คาดคิด
หากไม่มีการกำหนดนโยบายนี้ จะไม่มี URL ใดที่ติดบัญชีดำในเบราว์เซอร์
อนุญาตให้เข้าถึง URL ในรายการ โดยเป็นข้อยกเว้นสำหรับ URL ในรายการที่ไม่อนุญาต
ดูคำอธิบายของนโยบาย URL ในรายการที่ไม่อนุญาตสำหรับรูปแบบข้อมูลของรายการนี้
นโยบายนี้สามารถใช้เพื่อเปิดข้อยกเว้นสำหรับรายการที่ไม่อนุญาตซึ่งมีข้อจำกัด ตัวอย่างเช่น "*" สามารถอยู่ในรายการที่ไม่อนุญาตเพื่อบล็อกคำขอทั้งหมด และนโยบายนี้สามารถใช้เพื่ออนุญาตการเข้าถึงรายการ URL ที่จำกัดได้ และสามารถใช้เพื่อเปิดข้อยกเว้นของสกีมบางอย่าง โดเมนย่อยของโดเมนอื่นๆ พอร์ด หรือเส้นทางเฉพาะได้
ตัวกรองที่มีความเฉพาะที่สุดจะพิจารณาว่าจะบล็อกหรืออนุญาต URL รายการที่อนุญาตจะมีความสำคัญเหนือรายการที่ไม่อนุญาต
นโยบายนี้ถูกจำกัดที่ 1000 รายการ โดยรายการที่อยู่หลังจากนั้นจะถูกเพิกเฉย
หากไม่มีการตั้งค่านโยบายนี้ จะไม่มีข้อยกเว้นใดๆ ในรายการที่ไม่อนุญาตจากนโยบาย "URLBlacklist"
หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็นจริง ระบบจะอนุญาตเดสก์ท็อปแบบรวมหลายหน้าจอ รวมถึง เปิดใช้งานเป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งจะอนุญาตให้แอปพลิเคชันต่างๆ ขยายไปยังหลายหน้าจอได้ ผู้ใช้อาจปิดใช้เดสก์ท็อปแบบรวมหลายหน้าจอสำหรับหน้าจอบางหน้าได้โดยยกเลิกการทำเครื่องหมาย หน้าจอนั้นๆ ในการตั้งค่าการแสดงผล หากนโยบายนี้ตั้งค่าเป็นเท็จหรือไม่ได้ตั้งค่า เดสก์ท็อปแบบรวมหลายหน้าจอจะ ปิดใช้งาน ซึ่งในกรณีนี้ ผู้ใช้จะเปิดใช้งานคุณลักษณะนี้ไม่ได้
จำกัดเวลาพร้อมทำงานของอุปกรณ์โดยการกำหนดเวลาการรีบูตอัตโนมัติ
เมื่อนโยบายนี้มีการตั้งค่า นโยบายจะระบุระยะเวลาพร้อมทำงานของอุปกรณ์ ซึ่งอยู่ก่อนเวลาที่กำหนดการรีบูตอัตโนมัติไว้
เมื่อนโยบายนี้ไม่ได้ถูกตั้งค่า เวลาพร้อมทำงานของอุปกรณ์จะไม่ถูกจำกัด
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้ไม่สามารถเปลี่ยนหรือลบล้างการตั้งค่าได้
การรีบูตอัตโนมัติถูกกำหนดที่เวลาที่เลือกไว้ แต่อาจมีความล่าช้าบนอุปกรณ์ได้สูงสุดถึง 24 ชั่วโมงหากผู้ใช้กำลังใช้อุปกรณ์ในขณะนั้น
หมายเหตุ: ปัจจุบันนี้ การรีบูตอัตโนมัติจะเปิดใช้งานในขณะที่หน้าจอการเข้าสู่ระบบแสดงอยู่หรือเซสชันแอปคีออสก์ดำเนินการอยู่เท่านั้น ซึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคตและนโยบายจะมีการนำไปใช้เสมอ โดยไม่คำนึงว่ามีเซสชันประเภทใดดำเนินการอยู่หรือไม่
ควรมีการระบุค่านโยบายเป็นวินาที ค่าถูกกำหนดไว้ที่อย่างน้อย 3,600 (หนึ่งชั่วโมง)
กำหนดค่ารูปอวาตาร์ของผู้ใช้
นโยบายนี้ให้คุณสามารถกำหนดค่ารูปอวาตาร์ที่ใช้แสดงแทนผู้ใช้บนหน้าจอเข้าสู่ระบบ นโยบายนี้ตั้งค่าโดยการระบุ URL ที่ Google Chrome OS สามารถดาวน์โหลดรูปอวาตาร์และแฮชแบบเข้ารหัสซึ่งใช้เพื่อยืนยันความสมบูรณ์ของการดาวน์โหลด รูปภาพต้องมีรูปแบบเป็น JPEG ขนาดต้องไม่เกิน 512 kB และ URL ต้องสามารถเข้าถึงได้โดยไม่ต้องตรวจสอบสิทธิ์
รูปอวาตาร์จะถูกดาวน์โหลดและแคช และเมื่อ URL หรือแฮชเปลี่ยนแปลง จะมีการดาวน์โหลดรูปอวาตาร์ใหม่อีกครั้ง
นโยบายควรระบุเป็นสตริงที่บ่งบอก URL และแฮชในรูปแบบ JSON โดยทำตามโครงร่างต่อไปนี้:
{ "type": "object", "properties": { "url": { "description": "URL ที่สามารถดาวน์โหลดรูปอวาตาร์ได้", "type": "string" }, "hash": { "description": "แฮช SHA-256 ของรูปอวาตาร์", "type": "string" } } }
หากตั้งนโยบายแล้ว Google Chrome OS จะดาวน์โหลดและใช้รูปอวาตาร์นั้น
หากคุณตั้งนโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนหรือใช้รูปอวาตาร์อื่น
หากไม่ได้ตั้งนโยบายนี้ ผู้ใช้จะสามารถเลือกรูปอวาตาร์ของตนเองบนหน้าจอเข้าสู่ระบบ
กำหนดค่าไดเรกทอรีที่ Google Chrome จะใช้ในการจัดเก็บข้อมูลผู้ใช้
หากตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome จะใช้ไดเรกทอรีที่มีให้ไม่ว่าผู้ใช้จะระบุการตั้งค่าสถานะ "--user-data-dir" ไว้หรือไม่ก็ตาม
ดู http://www.chromium.org/administrators/policy-list-3/user-data-directory-variables สำหรับรายการตัวแปรที่สามารถใช้ได้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ ระบบจะใช้เส้นทางโปรไฟล์เริ่มต้น ซึ่งผู้ใช้สามารถเขียนทับด้วยค่าสถานะบรรทัดคำสั่ง "--user-data-dir"
ควบคุมชื่อบัญชี Google Chrome OS ที่แสดงในหน้าลงชื่อเข้าใช้สำหรับบัญชีภายในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกัน
หากตั้งค่านโยบายนี้ หน้าลงชื่อเข้าใช้จะใช้ข้อมูลที่ระบุในตัวเลือกการลงชื่อเข้าใช้แบบรูปภาพสำหรับบัญชีภายในอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบายนี้ Google Chrome OS จะใช้ ID บัญชีอีเมลของบัญชีภายในอุปกรณ์เป็นชื่อสำหรับแสดงในหน้าลงชื่อเข้าใช้
นโยบายนี้จะไม่มีผลกับบัญชีผู้ใช้ทั่วไป
อนุญาตหรือปฏิเสธการจับภาพวิดีโอ
หากเปิดใช้งานหรือไม่ได้กำหนดค่า (ค่าเริ่มต้น) ผู้ใช้จะได้รับแจ้งสำหรับ การเข้าถึงการจับภาพวิดีโอยกเว้น URL ที่กำหนดค่าใน รายการ VideoCaptureAllowedUrls ซึ่งจะได้รับสิทธิ์การเข้าถึงโดยไม่ต้องแจ้ง
เมื่อนโยบายนี้ถูกปิดใช้งาน ผู้ใช้จะไม่ได้รับแจ้งและการจับภาพ วิดีโอจะสามารถใช้ได้กับ URL ที่กำหนดค่าใน VideoCaptureAllowedUrls เท่านั้น
นโยบายนี้มีผลกระทบต่ออินพุตวิดีโอทุกประเภทและไม่เพียงแค่กล้องในตัวเท่านั้น
รูปแบบในรายการนี้จะจับคู่กันกับต้นทาง การรักษาความปลอดภัยของ URL ที่ขอ หากพบว่าตรงกัน ระบบจะอนุญาตให้ เข้าถึงอุปกรณ์จับเสียงโดยไม่แจ้งเตือน
หมายเหตุ: ใช้นโยบายนี้ได้ในโหมดคีออสก์เท่านั้นจนถึงเวอร์ชัน 45
อนุญาตให้ปิดการเพิ่มประสิทธิภาพ WPAD (การค้นหาเว็บพร็อกซีอัตโนมัติ) ใน Google Chrome
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False จะเป็นการปิดใช้การเพิ่มประสิทธิภาพ WPAD ซึ่งทำให้ Google Chrome ต้องใช้เวลาในการรอเซิร์ฟเวอร์ WPAD แบบ DNS นานขึ้น หากไม่ได้ตั้งค่าหรือไม่ได้เปิดใช้นโยบาย จะมีการเปิดใช้การเพิ่มประสิทธิภาพ WPAD
ไม่ว่าจะมีการกำหนดนโยบายนี้อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าการเพิ่มประสิทธิภาพ WPAD ได้
กำหนดค่ารูปวอลเปเปอร์
นโยบายนี้ช่วยให้คุณกำหนดค่ารูปวอลเปเปอร์ที่แสดงบนเดสก์ท็อปและบนพื้นหลังหน้าจอเข้าสู่ระบบสำหรับผู้ใช้ นโยบายนี้จะตั้งค่าโดยระบุ URL ที่ Google Chrome OS สามารถดาวน์โหลดรูปวอลเปเปอร์และการแฮชแบบเข้ารหัสที่ใช้ในการยืนยันความสมบูรณ์ของการดาวน์โหลด รูปภาพต้องอยู่ในรูปแบบ JPEG และขนาดต้องไม่เกิน 16 MB และต้องสามารถเข้าถึง URL ได้โดยไม่ต้องตรวจสอบสิทธิ์
รูปวอลเปเปอร์จะดาวน์โหลดและแคช และจะดาวน์โหลดอีกครั้งเมือใดก็ตามที่ URL หรือแฮชมีการเปลี่ยนแปลง
ควรกำหนดนโยบายนี้เป็นสตริงที่แสดง URL และแฮชในรูปแบบ JSON ที่สอดคล้องกับสคีมาดังต่อไปนี้: { "type": "object", "properties": { "url": { "description": "URL ที่สามารถดาวน์โหลดรูปวอลเปเปอร์ได้", "type": "string" }, "hash": { "description": "แฮช SHA-256 ของรูปวอลเปเปอร์", "type": "string" } } }
หากตั้งค่านโยบายนี้ไว้ Google Chrome OS จะดาวน์โหลดและใช้รูปวอลเปเปอร์
หากคุณตั้งค่านโยบายนี้ ผู้ใช้จะไม่สามารถแก้ไขหรือลบล้างนโยบายได้
หากไม่ได้ตั้งค่านโยบาย ผู้ใช้จะสามารถเลือกรูปที่จะให้ปรากฏบนเดสก์ท็อปและบนพื้นหลังของหน้าจอเข้าสู่ระบบ
เปิดใช้การแสดงหน้าต้อนรับเมื่อเรียกใช้เบราว์เซอร์ครั้งแรกหลังการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น True หรือไม่ได้กำหนดค่า เบราว์เซอร์จะแสดงหน้าต้อนรับอีกครั้งเมื่อเรียกใช้เบราว์เซอร์ครั้งแรกหลังการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ
หากตั้งค่านโยบายนี้เป็น False เบราว์เซอร์จะไม่แสดงหน้าต้อนรับอีกครั้งเมื่อเรียกใช้เบราว์เซอร์ครั้งแรกหลังการอัปเกรดระบบปฏิบัติการ